ถอดบทเรียน ว่าด้วยแรงจูงใจ ของ อ.ดร. ภิญโญ รัตนาพันธุ์


                                                       

        บันทึกนี้อาจารย์พูดถึง การสร้างแรงจูงใจ ได้อย่างน่าคิดครับ  โดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่ผู้คนยึดติดกับวัตถุนิยม จึงมุ่งการสร้างแรงจูงใจ ไปในรูปของเงินตอบแทน โดยแลกกับจำนวนปริมาณงานที่ได้ ทำมากก็ได้มาก ซึ่งอาจารย์ได้กล่าวถึง การสร้างแรงจูงใจว่า งานบางอย่างเท่านั้น ที่สร้างแรงจูงใจได้ด้วยเงิน ตามประโยคที่ว่า “งานใช้แรง (Mechanistics เมคานิสติก) ที่มีเป้าหมายเฉพาะหน้า เห็นๆ เห็นกับตาเท่านั้น ถ้าเพิ่มแรงจูงใจด้วยเงิน จะทำให้คนทำงานได้เร็วกว่า แต่เงินจะไม่ได้ผลกับงานที่เริ่มต้องใช้สมองแก้ปัญหา (Cognitive ค๊อกนิทีฟ)”  หมายความว่า การให้รางวัลที่เป็นเงิน ใช้ได้กับงานที่ไม่ต้องใช้ความคิดมาก เช่น งานทำความสะอาด งานล้างถ้วยล้างจาน งานยกของ แบกของ งานเก็บผลผลิตทางการเกษตร

      กรณีงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การสร้างแรงจูงใจด้วยเงินอาจมาผิดทาง ซึงจะได้ผลตรงกันข้าม ตามประโยคที่ว่า “ผลการศึกษาในด้านเศรษฐศาสตร์ การเงิน ที่ทำโดยมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกเช่น London School of Ecnomics ที่ผลิตนักเศรษฐศาสตร์ระดับรางวัลโนเบิลไพร๊ซ์กว่า 11 ท่าน ศึกษางานวิจัยที่โยงผลตอบแทนที่เป็นเงินเข้ากับการทำงาน ค้นพบเช่นเดียวกันว่า “การโยงผลตอบแทนเป็นเงินเข้ากับการทำงาน ให้ผลที่เป็น “ลบ” หมายความว่า  งานบางอย่างที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ เป็นต้นว่า งานออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น งานออกแบบเครื่องประดับ เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า งานออกแบบยานพาหนะ หรือ ผลิตภัณฑ์จำพวกยารักษาโรคต่างๆ การใช้เวลาน้อย แม้ได้ผลงานมาก แต่อาจได้ผลงานที่ไม่ดี 

        อาจารย์ได้แสดงถึงความกังวลเกี่ยวกับการสร้างแรงจูงใจ ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในทางธุรกิจ ที่มีการแข่งขันด้วย ความแปลกใหม่ และใช้ความคิดสร้างสรรค์ การเน้นเอาเงินมาเป็นรางวัลสร้างแรงจูงใจ อาจทำให้ธุรกิจพบจุดจบ ซึ่งแน่นอนเมื่อธุรกิจต่างๆ มีปัญหา ก็จะส่งผลถึงระดับประเทศในที่สุด ซึ่งอาจารย์ได้เสนอทางออกของปัญหานี้ คือ การใช้แรงจูงใจอีกอย่างที่ไม่ใช่เงิน ดังประโยคที่กล่าวว่า “ต้องใช้แรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation อินทรินซิก โมติเวชั่น) ที่ประกอบด้วย สามคำครับ คือ Autonomy (ออโตโนมี่ ความอิสระ ความอยากที่จะควบคุมชีวิตตนเอง) Mastery (มาสเตอรี่ย์ ความปราถนาที่ทำงานให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ) Purpose (เพอร์โพ๊ส ความปรากถนาที่จะอะไรที่มีความหมาย) มากกว่าการทำอะไรเพื่อตนเอง”

      สรุปการถอดบทเรียน คือ งานมีหลายระดับแบ่งตามความยากง่าย เช่นเดียวกับคนเราก็มีความซับซ้อน และแตกต่างกัน ในการทำงาน บางทีไม่ใช่ทำงานเพื่อเงิน แต่ ทำงานเพื่องาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้บริหารต้องระวัง และอาจารย์ทิ้งท้ายด้วยความห่วงใยว่า ยังไงก็ช่วยๆ กันแชร์ ซึ่งบันทึกเต็ม อยู่ที่นี่ครับ http://www.gotoknow.org/posts/530751


หมายเลขบันทึก: 541007เขียนเมื่อ 30 มิถุนายน 2013 23:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 กรกฎาคม 2013 11:00 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

สวัสดีครับ

บันทึกของอาจารย์ ดร.ภิญโญ ผมได้นำมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน หลายอย่างครับ มีประโยชน์มากๆ เข้าใจง่าย

ขอบคุณครับ

ขอบคุณมากครับ..สะท้อนงานอาจารย์ภิญโญเยอะเลย.. 

แนวคิดและวิธีการทำงานนั้นมีมากมาย ต้องใช้เวลาศึกษาพอสมควร ทางลัดอย่างหนึ่ง คือ เรียนรู้จาก ท่านมากความรู้และประสบการณ์ แล้วนำมาปรับใช้กับตนเอง บันทึกของอาจารย์ ดร.ภิญโญ ถือเป็นอีกทางหนึ่งเช่นเดียวกันครับ พี่ พ.แจ่มจำรัส 

สวัสดีครับคุณ ลูกหมูเต้นระบำ งานเขียนของอาจารย์ ดร.ภิญโญ ให้แง่คิดดีๆ ในการทำงาน แถมยังมีหลักฐานงานวิจัยมาอ้างอิง น่ามาเป็นแนวคิดในการทำงานได้ดีครับ


...อาจารย์ดร.ภิญโญ เป็นผู้หนึ่งที่สามารถดึงเอาจิตวิทยาด้านต่างๆมาใช้ในการทำงานได้อย่างเป็นรูปธรรมมองเห็นได้ชัดเจนนะคะ...ขอชื่นชมค่ะ

สวัสดีครับท่าน อ.พจนา การทำงานเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องเข้าใจคน เข้าใจงาน ข้อเขียนของอ.ดร.ภิญโญ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้เป็นอย่างดีครับ


กมลชนก กิจกสิวัฒน์

น.ส.กมลชนก กิจกสิวัฒน์

555740111-3

World Café –Coaching

1.               เรื่องที่ 1 ตอนที่รู้สึกตกต่ำ แล้วถูกดึงให้ดีขึ้น”

ที่บ้านเลี้ยงหมาอยู่ 2 ตัว ตัวที่จะพูดถึงเป็นหมาตัวแรก หนูได้มันมาตั้งแต่ตอนจะขึ้น ม.1 ตอนนี้อายุมันก็เกือบ 18 ปีแล้วซึ่งถือว่าแก่มากๆแล้ว ปัญหาก็คือ ในแก่มากและใกล้ตายด้วยโรคชรา และยังมีโรคลิ้นหัวใจรั่ว หมอก็สังเกตว่าอาจจะเป็นมะเร็งอีกเพราะมันมีก้อนเนื้อขึ้นมา ตอนนี้ต้องทำใจอย่างเดียว ก่อนหน้านี้หนูทำใจไม่ได้เลย วันๆนึงร้องไห้ไม่รู้กี่รอบเพราะทนรับสภาพมันไม่ได้ มันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ลุกขึ้นยืนเองไม่ได้ ต้องคอยพยุง ส่วนใหญ่ก็จะนอนทั้งวันเหมือนคนแก่ เวลาปวดอึปวดฉี่ก็เดินไม่ได้ บางทีก็ฉี่ราดอึราด ทุกวันนี้เก็บอึให้ทุกวัน บางทีก็นอนทับอึตัวเอง กินข้าวเองไม่ได้เพราะขากรรไกรไม่ค่อยทำงานแล้ว ต้องเอามือป้อนข้าวใส่ปาก เวลากินน้ำก็ต้องช่วยพยุงตัว แต่หนูก็ทนและจะดูแลมันให้ถึงที่สุด

อาที่บ้านซึ่งเป็นคนธรรมะธรรมโม แกเห็นหนูทำใจไม่ได้เพราะวันนึงหนูร้องไห้หลายครั้งมากๆ แกเลยบอกว่า “ไม่ต้องไปรั้งเค้าไว้หรอก แค่ปฏิบัติกับเค้าให้ดีที่สุดก็พอ ชาตินี้เค้าไม่เคยกัดหรือทำร้ายใคร เค้าไม่ได้สร้างกรรมเพิ่ม เค้าแค่เกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเท่านั้น ถ้าเค้าตายไปก็จะได้ไปเกิดเป็นเทวดา” คำพูดนี้ทำให้หนูคิดได้และเริ่มทำใจได้ ซึ่งก่อนหน้านี้หนูจะพูดกับหมาว่า “อย่าทิ้งเจ๊ไปนะ อยู่กับเจ๊ก่อน” แต่หลังจากที่อาบอก หนูก็บอกกับหมาว่า “ถ้าอยากไปก็ไป ถ้าเหนื่อยก็ไป แต่ขอให้ไปอย่างสงบ และแต่ไม่ต้องเป็นห่วงทุกๆคนที่บ้าน”

ตอนนี้หมาตัวนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเราก็ดูแลกันไปให้ดีและถึงที่สุด แต่สภาพจิตใจตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ถ้าแม้ว่าเวลาที่มันจะตายจริงๆยังไงเราก็ต้องเศร้าอยู่แล้ว แต่คิดว่าทำใจได้ระดับนึงแล้วค่ะ

จุดเปลี่ยน คำพูดของอาที่บอกว่า “เค้าเกิดมาเพื่อใช้กรรม ชาตินี้เค้าไม่ได้ทำกรรมเพิ่ม มีแต่สร้างความสุขให้คนในครอบครัว ถ้าเค้าตายไปเค้าจะได้ไปเกิดเป็นเทวดา” หนูไม่รู้หรอกค่ะว่าเค้าจะได้เกิดเป็นเทวดารึเปล่า แต่ก็เชื่อว่าเค้าจะได้ไปเกิดให้ภพภูมิที่ดีกว่านี้แน่นอนค่ะ ต้องขอขอบคุณคุณอาด้วยที่ช่วยดึงหนูจากความเศร้าและจิตใจที่ยึดติด ตอนนี้หมายังมีชีวิตอยู่ แต่คุณอาไปบวชเป็นแม่ชีแล้วค่ะ

 

2.            เรื่องที่ 2    “ตอนที่ใครสักคนทำให้เราเก่งในเรื่องงานขึ้น”

เนื่องจากว่าตอนนี้หนูต้องมาดูแลกิจการที่บ้าน ซึ่งรับช่วงต่อจากคุณพ่อ เพราะคุณพ่อก็จะเริ่มวางมือแล้ว แต่เนื่องจากเราเป็นผู้หญิง และเป็นเด็กใหม่ที่ต้องมาทำงาน สั่งโน่นสั่งนี่คนที่อายุมากกว่า โดยเฉพาะพนักงานช่างที่เป็นผู้ชาย หนูจึงไม่ค่อยกล้าสั่งงานหรืออะไรเท่าไหร่นัก เวลาสั่งงานก็จะพูดเบาๆ นิ่มๆ ทำให้พนักงานช่างผู้ชายไม่ค่อยเกรงกลัว บางครั้งก็ไม่ทำตามที่เราบอก จนบางครั้งเวลาจะสั่งงานเราก็จะสั่งผ่านหัวหน้าช่าง ชื่อพี่ดำแทน จนมาวันนึงพี่ดำบอกว่า “น้องก็สั่งเลย ถ้าเค้าไม่ทำตามก็ไปสั่งเค้า ไปจี้เค้า ไม่ต้องเกรงใจ จริงอยู่เราเป็นผู้หญิงและอายุน้อยกว่า แต่เค้าเป็นเถ้าแก่ เป็นเจ้าของ เค้ากินเงินเดือนเราอยู่ ถ้าไม่กล้าสั่งกล้าบอกตอนนี้จะบอกตอนไหน เดี๋ยวนานไปเค้าก็จะไม่เกรงมันจำละบาก” และนอกจากนี้เวลาที่เราสั่งงานผ่านพี่ดำ พี่ดำก็จะไม่สั่งต่อให้ บอกให้เราไปสั่งเองเลย แต่ต้องขอขอบคุณพี่ดำมากๆ เพราะทุกวันนี้พนักงานทุกคนก็เชื่อฟังเราไม่ต่างจากพ่อ ทำให้เราทำงานได้เต็มที่ และบริหารงานที่บ้านได้สะดวกรวดเร็วขึ้นมาก นอกจากนี้ พนักงานขายก็เชื่อมั่นและไว้วางใจ ตอนนี้คุมงานแทนพ่อได้เกือบ 80%แล้วค่ะ

จุดเปลี่ยน คำพูดของพี่ดำที่บอกว่า “เราเป็นเจ้าของบริษัท  ถ้าไม่กล้าสั่งตอนนี้ และจะเริ่มตอนไหน ถ้าไม่เริ่ม ต่อไปเค้าก็จะไม่เกรงเรา และเราก็จะไม่มีอิทธิพลกับเค้าเลย”

 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท