กระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแก่โบราณคดีสโมสร
เมื่อวันที่
๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๑ พระราชวังโบราณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
“ประเทศทั้งหลายซึ่งได้ควบคุมกันเป็นชาติและประเทศขึ้นย่อมถือว่าเรื่องราวของของชาติและประเทศขึ้นย่อมถือว่าเรื่องราวของชาติตนและประเทศตน เป็นสิ่งสำคัญซึ่งจะพึงศึกษาและพึงสั่งสอนกันให้รู้ชัดเจนแม่นยำ เป็นวิชาหนึ่งซึ่งจะได้แนะนำความคิดและความประพฤติซึ่งจะพึงเห็นได้ เลือกได้ในการที่ผิดชอบชั่วดี เป็นเครื่องชักนำให้เกิดความรักชาติและรักแผ่นดินของตัว ถึงว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่ชั่วช้าไม่ดีอย่างใด ก็เป็นเครื่องที่จะจำไว้ในใจ เพื่อจะละเว้นกีดกันไม่ให้ความชั่วความไม่ดีนั้นมาปรากฏขึ้นอีก ในเวลาซึ่งเราทั้งหลายเป็นผู้ทำเหมือนตัวละครที่ทำบทอยู่ในเวลานี้ ถ้าเรื่องใดที่ดีก็ทำให้ใจคอเพื่องฟูให้เกิดความเย่อหยิ่งขึ้นในใจ ซึ่งจะใคร่ได้และจะใคร่รักษา ความดีนั้นไว้ทั้งจะใคร่ทำขึ้นใหม่ให้เทียบเคียงกัน หรือดียิ่งขึ้นกว่าเก่า การเรียนรู้เรื่องประเทศของตนเมื่อผู้ใดได้เรียนด้วยความประสงค์อันดี จะได้รับแต่คุณไม่มีโทษ ดังได้กล่าวมาโดยสังเขปเช่นนี้ เรื่องราวของประเทศทั้งหลายซึ่งมนุษย์อาจทรงจำได้ย่อมจะมีหลักฐานอยู่เพียง ๖,๐๐๐ ปี แต่ย่อมประกอบด้วยเรื่องราวอันไม่น่าเชื่อถือปนเป็นนิทาน ข้อความซึ่งได้มั่นคงอย่างสูงก็อยู่ภายใน ๓,๐๐๐ ปี แต่ประเทศโดยมากในชั้นปัจจุบันนี้ มักจะตั้งตัวได้เป็นปึกแผ่นราว ๑,๐๐๐ ปี เมื่อมีหนังสือเรื่องราวซึ่งเป็นหลักฐานมั่นคง ไม่เป็นแต่ใช้เครื่องหมายรูปนกรูปกาหรือรูปภาพที่เขียนต้องคิดประกอบ แต่ความรู้สึกยืดยาวขึ้นไปเป็นเช่นนี้ย่อมมีในประเทศที่มีแบบแผนเป็นหลักฐานในบ้านเมืองที่ถึงความรุ่งเรืองแล้วในสมัยนั้น ถ้าหากว่ายังเป็นเมืองที่คงป่าเถื่อนไม่รู้จักหนังสือไม่รู้จักเล่าต่อกันก็รู้ได้เพียงชั่วอายุหรือสองอายุคน บ้านเมืองเช่นนี้ก็ยังมีอยู่
กรุงสยามนี้เป็นประเทศที่มีเคราะห์ร้าย ถูกข้าศึกศัตรูคิดทำลายล้างอย่างรุนแรงเหลือเกินยิ่งกวาชาติใดๆ ที่แพ้ชนะในการสงคราม หนังสือเก่าซึ่งควรจะสืบสวนได้สาบสูญไปเสียเป็นอันมาก ตามเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในบัดนี้มีน้อยเกินกว่าความจริงที่ควรจะมีเป็นอันมาก แต่ความเจริญบริบูรณ์ดีในบางกาลบางสมัย ถ้าจะนับก็จะได้ถึงพันปี ข้อนี้ย่อมรู้ปรากฏอยู่แก่ผู้ที่เอาใจใส่ในเรื่องราวของประเทศสยามและมีหนังสือซึ่งเป็นหลักฐานควรอ้างอิง แต่หากจะเป็นช่วงๆ ไป จะเรียบเรียงให้ติดต่อกันเป็นบริบูรณ์ทั้งพันปีไม่ได้ ยังมีข้อที่น่าเสียใจอยู่อีกกว่าในกาลปางก่อน ความใส่ใจในการที่จะเรียบเรียงหนังสือมีน้อยกว่าประเทศอื่น มักจะรู้และจำไว้เล่ากันต่อมา ไม่ใช่จะเป็นชาติที่จะเล่าเรื่องไม่เป็นเช่นคนดำหัวหยิก เว้นไว้แต่เป็นชาติที่ไม่ชอบแต่งหนังสือ จึงได้แต่คำบอกเล่าต่อๆ กันมา ความจึงเลอะเลือนวิปลาสซ้ำซากจนไม่น่าเชื่อ และมีร้ายยิ่งกว่านั้นตกมาในชั้นหลังไปยอมรับพระราชพงศษวดารกรุงเก่าว่าเป็นเรื่องราวของแผ่นดินสยาม ข้อความนอกจากที่เขียนไว้ในพระราชพงศาวดารถือเสียว่าเป็นนิทาน มีผู้เอาใจใส่ฟังแต่น้อย จะเล่าให้ผู้ใดฟังก็ไม่มีความพอใจเหมือนฟังนิทานไม่ใช้สติปัญญาตริตรองเทียบเคียงและจดจำไว้ ความหลังพระราชพงศาวดารนี้ไทยให้ทอดธุระเสียว่าเรื่องราวของชาติและประเทศเราอยู่เพียงสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สร้างกรุงทวารวดีศรีอยุธยา เรื่องราวที่เก่ากว่านั้นน่าจะพิจารณาก็ได้ละทิ้งเสียทั้งสิ้น เพราะเห็นว่าปีก็ล่วงมาถึง ๔๐๐, ๕๐๐ ปี พอแก่ความปรารถนาที่จะรู้อยู่เพียงนั้นแล้ว
ความจริงชื่อพระราชพงศาวดาร เขาได้ตั้งชื่อขึ้นโดยความซื่อตรงต่อหนังสือที่เขาเรียงความ จงใจมุ่งหมายที่เรียงพระราชพงศาวดารนั้น เขาหมายจะเรียงเรื่องราวของพระเจ้าแผ่นดินซึ่งสืบสันตติวงศ์ลงมาจนถึงเวลาที่เขียนนั้น เรื่องราวกิจการบ้านเมืองอันใดที่กล่าวในพงศาวดาร เขาประสงค์จะกล่าวประกอบประวัติความเป็นไปของพระเจ้าแผ่นดินนั้นว่าสุขทุกข์ดีร้ายอย่างไร ในเวลาที่พระเจ้าแผ่นดินองค์นั้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ได้ตั้งใจที่จะกล่าวถึงประเทศสยามทั่วไป เพราะเหตุฉะนั้นคำที่เรียกว่าพงศาวดารเรียกโดยความซื่อตรงต่องานที่จะทำ มิใช่เราไม่รู้ว่าคำพงศาวดารนั้นแปลว่าอะไร แต่หากเราปราศจากความพิจารณาไปหลงแปลเองว่าเรื่องราวของแผ่นดินสยาม ข้อความจึงบกพร่องไม่พอแก่การพิจารณาเสียเลย ถ้าผู้ใดได้อ่านเรื่องราวของประเทศอื่นจะกล่าวได้ว่า เรื่องราวของประเทศสยามนี้ช่างไม่มีอะไรเสียจริงๆ มีแต่เล่าถึงเจ้าแผ่นดินเท่านั้น อยากจะกล่าวด้วยว่าได้ยินคนพูดแล้วด้วยซ้ำไป แต่ผู้ที่พุดนั้นไม่ไช่ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ในที่นี้ ข้อความนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้เห็นปรากฏเป็นพยานว่า ความที่หลงเชื่อพงศาวดารนี้จึงทำให้เป็นผู้ติเตียนได้และไม่ใส่ใจฟังเรื่องเราของเราเลยด้วย กรุงสยามเป็นประเทศที่แยกกันบ้างเป็นบางคราว รวมกันบ้างบางคราว ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินที่ปกครองก็ต่างชาติกันบ้าง พงศาวดารได้เลือกกล่าวแต่เฉพาะเวลาที่แผ่นดินสยามได้รวมกันเป็นพระราชอาณาจักรอันเดียวในชั้นหลัง เชื่อว่าพระเจ้าแผ่นดินก็เลือกแต่เฉพาะวงศ์ไทยที่ได้ลงมาแต่ข้างฝ่ายเหนือ แม้แต่วงศ์ที่ตั้งอยู่ในกรุงสุโขทัยแล้วก็ยังไม่นับ นอกจากได้ออกชื่อครั้งเดียว เมื่อคราวถึงขุนพิเรนทรเทพในแผ่นดินพระมหาจักรพรรดิจะป่วยการกล่าวไปใยถึงนครอันใหญ่ซึ่งตั้งอยู่เฉพาะนัยน์ตา เช่นที่เก่าขึ้นไปคือกรุงนครไชยศร กรุงลพบุรี ซึ่งเรายังไม่ใคร่พบเป็นเรื่องเป็นราวกล่าวถึงนครทั้งสองนั้นเป็นการมั่นคว มีแต่จ้อความเป็นครั้งเป็นคราวที่ได้กล่าวถึงในหนังสืออื่นหรือเป็นนิทาน แต่เมืองนครศรีธรรมราชซึ่งยังไม่ได้สาบสูญคงเป็นบ้านเมืองอยู่บัดนี้ และเป็นชาติไทยแท้ ยังหลงไปว่าเป็นชาวนครนอกนับเข้าไป๑๒ภาษาได้ ความเห็นอันคับแคบเช่นนี้ตลอดจนถึงชั้นหลังสุดคือกรุงศรีอยุธยาหรืออโยธยา ซึ่งตั้งอยู่ณฝั่งตะวันออกตรงปละท่าคูจาม (ประทาคูจาม) ที่พระเจ้าอู่ทองมาตั้งก่อนสร้างพระนครทวารวดี ซึ่งมีเจดีย์ฐานปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ และเป็นที่เจ้าแผ่นดินในกรุงทวารวดีได้ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นแทยทั้งนั้น เช่นวัดพนัญเชิง วัดใหญ่ไชยมงคล อันอยู่ในท่ามกลางพระนครเก่า วัดศรีอโยชฌิยาวัดเดิม ซึ่งเป็นคณะอรัญวาสีเหนือเมืองวัดกุฎิดาว วัดมเหยงคณ์ ซึ่งเป็นอรัญญวาสีฝ่ายตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง เป็นต้น
ทั้งที่เห็นอยู่เช่นนี้และได้ไปบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้น ถึงว่าจะยังรักษาความสัตย์ ใช้คำว่าปฏิสังขรณ์ไม่ใช่สร้างขึ้นใหม่แห่งทั่วไปก็ได้ละเสียไม่กล่าวถึงเรื่องเก่าของกรุงอยุธยานั้นเลย น่าจะเป็นเรื่องที่รู้กันแก่ใจไม่ต้องเล่า ข้อที่ไม่เขียนลงไว้นั้น ก็เป็นตามนิสัยและความไม่ต้องการของเวลานั้น หรือจะมีพงศาวดารฉบับอื่นต่างหากซึ่งได้กล่าวถึงอยู่แล้วเช่นพงศาวดารเหนือ แต่หากหนังสือฉบับนั้นสูญหายในเวลาที่เกิดวิบัติแก่บ้านเมือง ฉบับที่เราได้เห็นอยู่นี้ก็เป็นแต่มีผู้รู้ว่าพงศาวดารเหนือมีอยู่ แต่ต้นฉบับสาบสูญไปหาไม่ได้ หรือได้แต่ขาดร่องแร่ง จึงขอให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในเวลานั้นช่วยแต่งเพิ่มเติม แต่ท่านผู้หลักผู้ใหญ่นั้นจำไม่ได้ด้วยความชราหลงลืมจึงเล่าซ้ำๆซากๆไป ผู้ที่ขอให้เขียนนั้นหากว่าเป็นผู้ซึ่งใส่ใจตรตรองอยู่แล้ว ก็คงซักไซ้ทักท้วงให้เป็นทางดำริของผู้หลักผู้ใหญ่ แต่ผู้ซึ่งใส่ใจในทางโบราณคดีเวลานั้นเห็นจะมีน้อยด้วยความพอใจในพระราชพงศาวดารกรุงทวารวดีว่า เก่าพออยู่แล้วดังได้กล่าวมานั้น จึงไม่ซักไซ้ถามให้ชัดเจน ดูก็เป็นที่น่าเสียดายเป็นอันมากแต่เพียงอายุขนาดข้าพเจ้าเองยังได้ยินถ้อยคำที่ผู้หลักผู้ใหญ่เล่าถึงข้อความชั้นกรุงทวารวดีมากออกไปกว่าพระราชพงศาวดารที่ได้เรียบเรียงขึ้นไว้เป็นหลายอย่าง แต่ก็ไม่มีในจดหมายเหตุแห่งหนึ่งแห่งใด ฟังแล้วก็เล่ากันต่อไป ผู้ที่อยากฟังก็น้อยลงไปทุกที ผู้ที่เล่าก็กลายเป็นผู้ที่บ่นพึมพำซ้ำๆ ซากๆ เพราะผู้ที่เล่านั้นอายุแก่เข้าทุกทีๆ ข้อความสูญไปด้วยเช่นนี้โดยมาก โทษที่ไม่เขียนเป็นตัวหนังสือขึ้นไว้
ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงมีความพอใจที่ได้เห็นท่านทั้งหลายเอาใจไส่ในพงศาวดารและเรื่องราวของชาติบ้านเมืองได้เกิดขึ้นใหม่ เป็นที่วางใจว่าความไม่พอใจฟังเรื่องราวของประเทศตัวจะไม่เสื่อมซา สิ้นเร็วเหมือนอย่างที่ได้เป็นมาแล้ว และทั้งผู้ที่ซึ่งจะได้เข้าในสโมสรโดยมากเป็นผู้ที่มีวิชาสามารถที่จะฟังเรื่องราวและเรียบเรียงด้วยตา และหูอันได้รู้เรื่องราวของประเทศอื่นๆและอาจเลือกเฟ้นข้อสำคัญและไม่สำคัญดีกว่าผู้ที่ไม่มีวิชาต่างประเทศ
ไม่มีความเห็น