ตอน 13 ครูคนแรก


เด็กผอมวิ่งไปหน้าอาคารเรียน 2 ห้องเรียน ยกพื้น สร้างด้วยไม้หลังคามุงสังกะสี มีบันไดขึ้นทางเดียวด้านหน้าทอดยาวอยู่กลางอาคาร บนอาคารมีผู้คนมากมาย นั่งทานข้าวพร้อมกับพูดคุยกันบนระเบียงทั้งสองฟากเลยหัวบันได

ขณะที่เด็กน้อยยืนละล้าละลัง มองหาพ่อแม่และพี่ๆ อยู่นั้น พ่อก็เหลือบมาเห็นเข้า


“ไหว มานี่ลูก" เด็กน้อยหันไปตามเสียงเรียก เห็นพ่อนั่งอยู่หัวโต๊ะในห้อง รอบๆ โต๊ะมีคนนั่งอยู่หลายคน ที่เด่นสุดที่เด็กผอมสดุดตา เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง แต่งตัวดี สวยมาก นั่งด้านขวามือของพ่อ และหันหน้ามาทางเด็กน้อยพอดี

เด็กน้อยเดินช้าๆ ก้มหน้าเข้าไปหาพ่อ


“สวัสดีคุณครูอรพิน ซิลูก" พ่อบอก

เด็กน้อยยกมือไหว้อย่างเขินๆ

“อายุเท่าไหร่จ๊ะ" เสียงไพเราะถาม ยิ่งทำให้เด็กน้อยอายยิ่งขึ้น ก้มหน้าเงียบ

“ห้าขวบครับ" พ่อตอบแทน


“เปิดเทอมเดือนหน้ามาเข้าเรียนกับหนูได้นะคะ" เธอหันไปพูดกับพ่อ เด็กผอมเหลือบตาขึ้นแอบมอง ผิวครูขาว หน้าขาว ริมฝีปากแดง มีรอยยิ้มนิดๆ

“อายุยังไม่ถึงเกณฑ์เลย" พ่อตอบทำนองไม่เห็นด้วย


“ไม่เป็นไรค๊า ปีการศึกษาหน้าเด็ก ป.1 ลดลง เหลือไม่มาก หนูดูแลได้ ท่าทางฉลาด" ตอนท้ายครูอรพินหันมามองเด็กผอม ซึ่งกำลังมองครูอรพินเพลิน เธอจึงถามเด็กน้อยว่า

“อยากเรียนหนังสือไหมจ๊ะ"

“อยากเรียนครับ" เด็กน้อยตอบทันที เพราะใฝ่ฝันมานานแล้ว


วันนั้นเด็กน้อยมีความสุขที่สุด เพราะนอกจากจะได้รับประทานอาหารอร่อย หลายชนิดแล้ว ยังจะได้เรียนหนังสือในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ทั้งได้เรียนกับคุณครูอรพิน ที่สวยงามมาก แต่งตัวดีและพูดจาไพเราะอีกด้วย

คืนนั้นพ่อเข้านอนแต่หัวค่ำ เพราะเหนื่อยจากการเดินทางและรับแขก แม่ก็เหนื่อยไม่น้อย ดังนั้น หลังอาหารเย็น แม่ให้นมลูกคนเล็กและพี่สาวสองคนช่วยกันล้างถ้วยล้างชามเสร็จแล้ว แม่ก็พาเด็กๆ เข้านอน


ที่นอนยังคงเป็นที่นอนซึ่งเรานอนในคืนแรก แม่บอกว่า ชาวบ้านเขาให้พวกเราด้วยความเต็มใจและดีใจ

ด้วยความอ่อนเพลีย เด็กทุกคนหลับอย่างรวดเร็ว มีเพียงเด็กเล็กผอมที่ยังนอนลืมตา ใบหน้ายิ้มละไม

แม่พลิกตัวจากลูกคนเล็กหันมาทางลูกคนรอง


“อ้าว...แม่นึกว่าหลับแล้ว เห็นนอนนิ่งๆ" แม่แปลกใจ แล้วถามว่า “ดีใจอะไร นอนยิ้มเชียว"

“ผมจะได้เรียนหนังสือแล้ว" เด็กน้อยตอบ แล้วถามแม่ “เซียงเมี่ยง ได้เรียนหนังสือไหม"

“ไม่ได้เรียนหรอกลูก เซียงเมี่ยงก็เลยไม่รู้อะไรเลย"


“อือ...เซียงเมี่ยงไม่ได้เรียนหนังสือ ก็เลยหาปลาไม่เป็น เนาะ แม่ เนาะ"

แม่ตอบรับในลำคอ แล้วเอามือลูบผมเด็กน้อยเบาๆ หวังจะให้ลูกหลับ

“เซียงเมี่ยง" เด็กน้อยยังไม่หลับ แม่จึงเล่านิทานเซียงเมี่ยงอีกครั้งหนึ่ง


“เซียงเมี่ยงใช้วิธีของไก่ มุดเข้าไปในพุ่มไม้ สองแขนงอเข้าหาลำตัว ทำเหมือนปีกไก่ แล้วขยับตีปีก พร้อมกับร้องเหมือนไก่ “กะต๊าก" บังเอิญอุจจาระออกมา

เซี่ยงเมี่ยงไม่รู้จะทำอย่างไร จึงตัดสินใจนำอุจจาระของตัวเองไปคั่วใส่ผักที่เก็บได้ในบริเวณนั้น"

เด็กน้อยหลับแล้วด้วยความสุข


อ่านตอนที่ 12 บ้านหลังใหม่...และน้ำใจของชาวบ้านน

หมายเลขบันทึก: 539704เขียนเมื่อ 18 มิถุนายน 2013 16:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 มีนาคม 2015 12:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

" ไหว "  คงดีใจมากที่ได้เข้าเรียนนะ   คุณมะเดื่อก็เข้าเรียนตอนอายุ  6 ขวบ  ยุคนั้น ไม่มีชั้นอนุบาล

หรอก  เรียน ป.1 เลยละ   

สวัสดีครับ Ico48

ผมเข้าเรียน ป.1 ครับ ไม่มีอนุบาล มี ป.1 - ป.4 จบ ป.4 ก็เข้า ม.1
ผมเรียน ม.1 แต่พอผมขึ้น ม.2 เขาก็เปลี่ยน ม.1 เป็น ป.5
นั่นคือผมเป็นนักเรียน ม.3 รุ่นสุดท้าย
จาก ม.3 ผมเข้าเรียน ม.ศ.1 หลักสูตรใหม่ สนุกมากๆ 55555
ขอบคุณครับ

ขอผมพ่อแม่ค้าขายไม่ค่อยมีเวลา เลยเอาผมไปฝากเลี้ยงที่โรงเรียนครูบำรุง ตอนนั้นเรียก ป เตรียม ไม่เข้าใจหรอกครับว่าคือเตรียมอนุบาล จำไม่ได้ว่าเคยเห็นครูบำรุงหรือเปล่า จำได้ลางๆว่ามีครูสาวท่านหนึ่งใจดีมาก พาผมเข้าห้องน้ำล้างก้น ซักกางเกงที่เปรอะอึให้ ทำไปท่านก็ยิ้มหัวร่อไป ไม่ยักดุ แต่เสียดายผมจำชื่อท่านไม่ได้

นี่ความลับของผมเลยนะพี่ รู้กันแค่เรานะครับ

ว้าว.....ประสบการณ์ดีจัง ...ครูท่านนั้นน่ารักมากเลย

ไม่เป็นไรครับ รับรองว่าผมไม่บอกใครให้รู้ 55555555

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท