อาหารเช้าปนขี้ฟันเพื่อสุกกะพาบ


แนะนำเวลาแปรงฟันตอนเช้าที่ดีที่สุด

เราถูกสอนมาแต่เด็กว่าหลังตื่นนอนต้อง อาบน้ำ แปรงฟัน ทันที ซึ่งผมเองก็ทำตามมาจนอายุประมาณ๒๓ ปี ไปเรียนตปท.   ก็เลิก หันมาทำตามสมองของตนเอง คือ ตื่นนอน ทำอาหาร กินข้าว แปรงฟัน ล้างหน้า แต่งตัว ไปเรียนหนังสือหรือทำงาน.. (ไม่มีอาบน้ำ)

แปรงฟันหลังกินข้าว ทำให้ฟันสะอาดไปตลอดวัน (โดยเฉพาะถ้ากินมื้อเดียว) ไม่มีสารอาหารตกค้าง จนกว่าจะกินอาหารมื้อต่อไป สุขภาพฟันจะดีขึ้นกว่าแปรงฟันก่อนกินอาหารเช้าหลายล้านเท่า (ล้านเท่านะครับ ไมได้พิมพ์ผิด เพราะจุลินทรีย์มันแบ่งตัวเร็วมาก)

บางท่านอาจแย้งว่า กินข้าวโดยไม่แปรงฟันก็เอาเชื้อโรคเข้าปากสิ ขี้ฟันทั้งน้าน ผมว่าไม่ เพราะเราแปรงฟันก่อนนอนแล้ว ฟันยังสะอาดเหมือนเดิม ขี้ฟ้นอาจมีนิดหน่อย แต่มันก็ขี้ฟ้นเรานะ กินอ่อมเพลี้ย ขี้วัว ใส้ตัน ใส่พะโล้ ก็ขี้สัตว์ทั้งนั้น  ยังกินได้ นี่ขี้ฟันตัวเอง หมักมาหนึ่งคืน พอทนน่า เผลอๆ อาจมีสิ่งดีๆ อยู่ในนั้นด้วยซ้ำไป

นอนกลางคืน แอร์เย็นสบาย เหงื่อไม่ออก ทำไมตื่นมาต้องอาบน้ำด้วย เปลืองทรัพยากรโลก เปลืองเวลา  ถ้าเราอาบน้ำก่อนนอนหลังจากทำอาหารเย็นและทำงานมาทั้งวันกลิ่นเหม็นเกาะเต็มตัวก็ล้างไปหมดแล้ว ก็น่าจะพอแล้ว

เดี๋ยวนี้มีตู้เย็น ควรทำอาหารไว้แต่ตอนเย็น แล้วเอาอุ่นกินตอนเช้า ร่างกายจะได้ไม่เหม็น จากการทำอาหารเช้า และไม่อาบน้ำเช้า

อาบน้ำตอนเย็น ไม่ต้องอุ่นน้ำเพราะอากาศร้อนส่วนน้ำก็ร้อนจากการสะสมแสงแดดมาทั้งวัน   ถ้าอาบเช้าโดนสองเด้ง เพราะอากาศหนาว น้ำก็หนาว ทำให้ต้องเปิดน้ำอุ่น

แปรงฟันหลังอาหารเช้า อย่าลืมใช้แก้วน้ำ ใช้น้ำแก้วเดียวแปรงฟันสะอาดหมดแถมจะประหยัดน้ำได้เป็นร้อยเท่า
๑. บ้วน กุ๊กปาก ใช้น้ำน้อยๆ กุ๊กแรงๆ ควรกุ๊กสามน้ำ ดังที่ได้เขียนเตือนมาในบทความก่อนๆ แล้ว
๒. แปรงฟัน (อย่างถูกวิธี “คนถางทาง” ดังที่บอกมาแล้ว คือ แปรงขยี้นวดเหงือก ไล่ขี้ฟันใต้เหงือก แล้วปัดมาบนฟัน ตวัดเอาขี้ควันออกมา)
๓. บ้วนปาก น้ำที่บ้วนออกมา บ้วนลงไปบนแปรง พร้อมเอานิ้วรูดทำความสะอาดแปรง
๔. บ้วนครั้งสอง ทำซ้ำข้อ ๓
๕. บ้วนครั้งสาม ทำซ้ำข้อ ๔
๖. เอาน้ำสะอาดในแก้วเทแบบรินๆ น้ำหยด ล้างแปรงอีกครั้ง กรีดให้แห้ง เก็บ จบ

วิธีนี้คิดเมื่อเป็นพระธุดงค์กลางป่าที่ต้องประหยัดน้ำมาก ...ความจริงมีลูกเล่นมากกว่านี้อีก แต่กลัวญาติโยมจะอ้วกเสียก่อน เอ้า บอกก็บอก น้ำบ้วนปากลงแปรง แล้วลง บาตร เอาไปล้างบาตรที่ฉันข้าวเสร็จ สามซ้ำ ....... แต่สุดท้ายบาตรก็เช็ดด้วยน้ำสะอาดชุบกระดาษทิชชู่นะ แห้งหอม ไม่มีเชื้อโรคใดๆ เลย บาตรเราเอง ปากเราเอง พอทน

ทำนองว่า ตดผู้อื่นยากแค้นสุดแสนเหม็น ตดเราเองถึงเหม็นไม่เป็นไร

...คนถางทาง (๓ มิย. ๒๕๕๖)


หมายเลขบันทึก: 538001เขียนเมื่อ 3 มิถุนายน 2013 17:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 มิถุนายน 2013 17:23 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สวัสดีค่ะ อาจารย์คนถางทาง

แนวปฏิบัติเรื่องแปรงฟันหลังกินข้าว..เห็นด้วยกะอาจารย์นะคะ  เป็นสิ่งที่ควรส่งเสริมตั้งแต่วัยเด็ก  ประจักษ์พยานก็คือ  โดยส่วนตัวทำเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กๆ..  แปรงฟันส่วนใหญ่แปรงเหงือก รอยต่อฟันกับเหงือก  และไล่ลงมาที่ตัวฟัน สุดท้ายแปรงลิ้นค่ะ    อ้อ..พอโตๆขึ้นมีกระจกส่องฟันเล็กๆ   ซึ่่งเมื่อก่อนเป็นของแถมเวลาซื้อแปรงสีฟัน  เอาไว้ส่องด้านในเผื่อมีฟันผุด้านในที่มองไม่เห็น...แต่โชดดีไม่มีเลย..:-))

แรกๆก็เริ่มจากการถูกเข้มงวดจากที่บ้าน ..กฏเหล็กของที่บ้าน...ทุกคนทานข้าวเช้าพร้อมกัน หลังจากนั้นต้องแปรงฟันให้สะอาด  ก่อนออกจากบ้านไปโรงเรียน  เลยติดเป็นนิสัย ..ส่่่่่่่งผลดีระยะยาว  ทำให้ปัจจุบันนี้ ...สุขภาพในช่องปากจัดว่าอยุ่ในเกณฑ์ดี...อายุครึ่งศตวรรษแล้วก็ไม่มีฟันผุเลย   ฟันอยุ่ครบ  ไม่เสียวฟัน ไม่ต้องใช้ไม้จิ้มฟัน ไม่ต้องไปหาหมอฟันแม้กระทั่งขูดคราบหินปูน..

ข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือชอบกินผักทุกชนิด โดยเฉพาะกินผักสดๆ ได้เคี้ยวสดๆ ..สงสัยได้ออกกำลังฟัน ...อิอิ   อย่างเช่น บวบ  หรือ มะเขือยาว  ฯลฯ ทานเป็นผักสดๆเลยค่ะ  ทานเป็นผักเคียงกับแกง..หรือแครอท เนี่ย ถ้าหัวเล็กๆ แทะกินเล่นได้เลย ถ้าเป็นประเภทสดจากไร่  .. ไม่แน่ใจว่่าพฤติกรรมเหล่านี้ ส่งเสริมสุขภาพฟันหรือไม่??  และส่วนใหญ่ไม่ค่อยทานอะไรที่นิ่มๆ เมื่อเทียบกันคนอื่นๆ เช่น กล้วยแขก ก็จะกินชิ้นไม่นิ่ม ขณะที่เพื่อนๆชอบนิ่ิม ๆ  กินไก่ก็แทะกระดูกปีก ไม่ชอบกินเนื้อหน้าอก  ฟันเลยได้ออกกำลังอยู่บ่อยๆ   :-)) 

ขอบคุณสาระดีๆ ที่แนะนำให้ชวนคิด ชวนปฏิบัติ และดำรงชีวิตแบบประหยัดพลังงาน ช่วยโลกค่ะ :-))..

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท