การทำงานอย่างไรให้เกิดสุข...?



การนั่งสมาธิให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วการทำสมาธิมันก็เป็นเรื่องง่าย

สมาธิหมายถึงทำใจของเราให้สงบ ปกติแล้วใจของเรามันไม่สงบ ใจของเราก็อยู่กับเรื่องโน้นเรื่องนี้ อยู่เฉย ๆ อยู่นิ่ง ๆ ไม่เป็น คนเรานี้จะมีสมาธิน้อยมากนะ พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนเราให้มีสมาธิ

สมาธินี้ทุกท่านทุกคนต้องฝึก เราจะทำอะไรให้มันเป็นได้อย่างดีเราต้องฝึกนะ เหมือนเด็ก ๆ นี้เราอ่านหนังสือไม่ได้ เราต้องไปเรียนหนังสือจนเราอ่านหนังสือได้  เมื่ออ่านหนังสือได้แล้วเราต้องการทำงานอะไรพิเศษเราก็ย่อมไปเรียนเฉพาะทางให้มันชำนาญ


การทำสมาธินี้ก็เหมือนกัน ทุกท่านทุกคนต้องฝึกสมาธินะ

การฝึกสมาธินี้ไม่ใช่เฉพาะนั่งนะ เดิน ยืน นั่ง นอน เราทุก ๆ คนต้องฝึกสมาธิกันหมด

คนเรานะถ้าใจมันปราศจากสมาธิมันไม่สงบ จิตใจเร่าร้อน สมาธิคือตัวความสุขในชีวิตประจำวันของเราทุก ๆ คน เหมือนเรามีบ้านที่พักอาศัยอยู่หลังหนึ่ง มีบ้านแล้วมันยังไม่พอเราต้องมีพัดลม  มีพัดลมก็ยังไม่พอเราต้องมีแอร์เพื่อปรับอุณหภูมิตามที่เราต้องการ

คนเราทุก ๆ มันมีความอยากมีความต้องการ ติดสุขติดสบาย ติดขี้เกียจขี้คร้าน ชอบทำอะไรตามใจ ความอยากของทุก ๆ คนมันถึงเผาใจตัวเอง ใจกับกายของเราทุก ๆ คนมันถึงไม่ค่อยจะอยู่ด้วยกัน กายอยู่ที่นี่แต่ว่าใจอยู่ที่อื่น

ส่วนใหญ่ใจของเราทุกคนมันไม่ได้อยู่ที่ปัจจุบัน ชอบอยู่กับเรื่องโน้นเรื่องนี้ เรื่องการเรื่องงาน เรื่องครอบครัว สารพัดเรื่อง พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนเราให้เราฝึกจิตใจของเราให้อยู่กับเนื้อกับตัว  เราทำการทำงานอย่างนี้ก็ให้ใจของเราอยู่กับการกับงาน มีความสุขมีความพอใจในการทำงาน  เพราะงานนี้มันดีทำให้เราได้ฝึกใจอยู่กับเนื้อกับตัว มันทำให้เราได้เสียสละ ทำให้เราได้ละความฟุ้งซ่าน ละความเห็นแก่ตัว ละความขี้เกียจขี้คร้าน

ทุกท่านทุกคนต้องทำงานนะ เพราะงานเป็นสิ่งที่จำเป็นกับเราทุก ๆ คน ทุกคนต้องทำงาน  ทุกคนต้องมีความสุขกับการทำงาน เราจะได้ทั้งสติเราจะได้ทั้งสมาธิ ได้ทั้งการทั้งงาน

การทำงานก็คือการฝึกสมาธิ คือการปฏิบัติธรรม

พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุก ๆ คนตั้งใจทำงาน ถ้าเราทำอย่างนี้ เราปฏิบัติอย่างนี้ชีวิตของเราก็จะมีความสุขขึ้น เพราะเราทุก ๆ คนรู้ว่าการทำงานคือการทำสมาธิ คือการปฏิบัติธรรม คือการเสียสละ คือการสร้างคุณธรรม สำหรับเงินเดือนน่ะมันเป็นผลพลอยได้นะ เกิดจากเราเป็นคนดีเป็นคนเสียสละ

ทุกคนนั้นมีความเห็นแก่ตัว ไม่อยากทำงานแต่ก็อยากได้เงิน หรือทำงานก็อยากทำงานเบา ๆ อยากเป็นแต่คนสั่งเค้าทำงาน แต่ไม่อยากทำงาน อย่างนี้เค้าเรียกว่า “คนเห็นแก่ตัว” คนที่เรา  ทุก ๆ คนไม่ต้องการ

เราทุก ๆ คนน่ะต้องการคนทำงานต้องการคนเสียสละ ถ้าเราเป็นคนตั้งใจทำงาน  เป็นคนเสียสละ เป็นผู้ที่รับผิดชอบในหน้าที่จิตใจของเราก็มีความสุข คนอื่นก็รักเรา  เคารพนับถือเรา สงสารเรา ต้องการเราเป็นหัวหน้า เป็นเพื่อน หรือว่าเป็นลูกน้องพ้องบริวาร  มันมีความสุขเป็นขบวนการ ที่บ้านเราทุกคนก็รักเรา ที่ทำงานทุกคนก็รักเรา คนอย่างนี้ก็เหมาะที่จะเป็นผู้นำ เมื่อเราทำดีใจของเราก็สงบพลอยให้สุขภาพร่างกายดีไปด้วย เรื่องการเงินของเรามันก็ดี ธุรกิจต่าง ๆ ก็ดี ถ้าเราตั้งใจอย่างนี้เรียกว่าเรามีสมาธิในการทำงาน

อย่างเราพูดอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เรามีสมาธิในการพูด พูดให้จิตใจของเราสบาย  จิตใจของคนอื่นสบาย ตั้งเจตนาไว้ดี ๆ ว่าคำพูดที่เราพูดออกไปจะเป็นดอกไม้เป็นของหอม เป็นเครื่องบรรณาการ เราจะไม่เอาของเหม็นเอาของปฏิกูลหรือไม่เอามีดเอาปืนเอาลูกระเบิดเพื่อทำร้ายคนอื่น

คำพูดนี้สำคัญมาก เพราะมวลหมู่มนุษย์ของเรานี้เป็นสังคม เป็นกลุ่มเป็นก้อน

คำพูดนี้สำคัญมาก ทุก ๆ คนต้องฝึกตัวเองนะ ต้องฝึกพูดเพราะ ๆ พูดสุภาพ  ด้วยกิริยามารยาทที่สวยสดงดงาม เพราะก่อนพูดเราเป็นเจ้านายเมื่อเราพูดเสร็จแล้วต้องกลายเป็นบ่าว

จิตใจของเราทุก ๆ คนนี้ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นบุคคลธรรมดายังไม่ใช่พระอริยเจ้า  ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า ที่ปัญหาของสังคมหรือปัญหาครอบครัวส่วนใหญ่นี้มันมีมากเพราะเรื่องพูด ไม่ระมัดระวังคำพูด แม้แต่เราเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาด พูดดีพูดเพราะ พระพุทธเจ้า  ท่านก็ยังไม่ให้เราพูดมากเกิน ต้องเปิดโอกาสให้เค้าพูดบ้าง ฟังคนอื่นเค้าบ้าง  ถ้าไม่ทำอย่างนี้ไม่ปฏิบัติอย่างนี้คนอื่นเค้าก็ไม่อยากมาเกี่ยวข้องกับเรา เค้ามาหาเราทุกทีมีแต่เราเป็นคนพูด เค้าไม่มีโอกาส  ไม่มีเวลาได้พูด

ให้ทุกคนรู้ในใจว่าเรานี้ปากเรายังเป็นพิษอยู่นะ ยังมีพิษอยู่มาก พกทั้งมีดทั้งระเบิด...

พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราปากพกระเบิดนะ ต้องเอาระเบิดออกจากปากหมดทุก ๆ คน  เป็นผู้ที่ไม่มีพิษมีเวรมีภัย

ทุก ๆ คนต้องฝึก ถ้าไม่ฝึกมันไม่เป็น เราอยู่ในครอบครัว พ่อแม่ญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูง  คนกลุ่มนั้นเขาพูดอย่างไรเราก็พูดอย่างนั้นทั้งน้ำเสียงกิริยามารยาท อย่างนี้เค้าเรียกว่าเป็นการที่ยังไม่ได้ฝึกนะ เราทำความดีมันก็อายนะ มันเก้อเขินนะ พูดดีพูดเพราะพูดสุภาพ ทำกิริยามารยาทที่ดี  สิ่งไหนที่มันดีเราไม่ต้องอายเราไม่ต้องเก้อต้องเขิน

ต้องเปลี่ยนตัวเองใหม่ไปในทางที่ดีสมกับเป็นมนุษย์ เป็นผู้ที่มีจิตใจสูง

มนุษย์แปลว่าผู้จิตใจสูง ทำแต่สิ่งที่ดี ๆ พูดแต่สิ่งที่ดี ๆ คิดแต่สิ่งที่ดี ๆ ไม่ทำบาปทั้งปวง  สิ่งที่ไม่ดีนี้ถ้าเราเห็นเค้าทำเราก็ทำตามเค้าหลายครั้งหลายคราวมันก็ไม่ละอาย มันไม่เก้อไม่เขิน  แล้วก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี อย่างเช่นบางคนอยู่ที่บ้านไม่ค่อยจะไหว้พระ ไปไหว้พระก็อายคนในครอบครัว ไม่เคยกราบคุณพ่อคุณแม่จะกราบคุณพ่อคุณแม่ก็อาย เก้อเขิน  สิ่งที่ดี ๆ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราอายไม่ให้เราเก้อเขิน ต้องรีบทำ

เรื่องคำพูดนี้สำคัญ... ถ้าเราเป็นคนเก่งคนฉลาดแต่พูดไม่ดีทุกคนเค้าจะไม่รักเรานะ

บางคนน่ะมีเพื่อนไม่กี่ปีเค้าก็ตีจากเราไป คบกับใครเค้าก็จากเราไปหมด เกิดมาไม่ค่อยมีเพื่อนกับเค้า เวลาแก่มาแล้วน่ะสามีก็เข้ากันไม่ได้ ภรรยาก็เข้ากันไม่ได้ บุคคลที่คนเค้าไม่รักไม่นับถือนี้  มันมีทุกข์มากนะ

คนเราจะทำอะไรก็เพื่อให้ทุกคนรัก ให้ทุกคนไว้วางใจ ให้คนอื่นเค้านับถือ คำพูดนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราสมาทานคำพูดที่ดี ๆ อย่างเราเป็นเจ้านายอย่างนี้ หรือว่าเป็น  คุณพ่อคุณแม่ ก็อย่าไปถืออภิสิทธิ์ว่าเราเป็นเจ้าเป็นนายเป็นพ่อเป็นแม่ อยากพูดอะไรก็พูด ใช้แต่ทิฏฐิใช้แต่มานะใช้แต่อารมณ์ ปฏิบัติอย่างนี้ไม่ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีเมตตามาก ๆ มีกรุณามาก ๆ มีความสงสารคนอื่น เป็นคนไม่อิจฉาคนอื่น คนไหนเค้ารวยคนไหนเค้าสวยคนไหนเค้าหล่อคนไหนเค้าเก่งเราก็ต้องยินดีกับเขาทุก ๆ คนนะ มีจิตใจเป็นอุเบกขา ต้องหนักแน่น

เราเป็นคุณพ่อคุณแม่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ต้องหนักแน่น อดเอาทนเอา อย่าให้แสดงออกมาทางกายทางวาจาทางจิตใจ ต้องทำเรื่องใหญ่เป็นสิ่งที่ไม่มีเรื่อง ทำเรื่องเล็กไม่ให้มีเรื่อง เหมือนกับพยับแดด  มันระยิบระยับแล้วก็หายไป เหมือนกับลมมันพัดมาแล้วก็พัดไป มันไม่มีอะไรอย่างนี้แหละ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปมันก็ไม่มีอะไร

จิตใจต้องหนักแน่นนะ เพราะคนเราส่วนใหญ่มันไม่มีสมาธิ มันชอบทำตามใจ ตามอารมณ์  ตามสิ่งแวดล้อม สมาธินี้ของเรานี้ต้องแข็งแรง เราถึงจะเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักผู้ใหญ่ที่ใจดี สมกับเป็น  ผู้หลักผู้ใหญ่เป็นผู้นำ

บางคนน่ะก็ยังเป็นเด็กอยู่เป็นผู้น้อยอยู่ แต่นานไปทุกท่านทุกคนต้องเป็นผู้หลักผู้ใหญ่กันหมดนะ ต้องฝึกกันหมด เราอย่าคิดว่าเราเป็นผู้น้อย เราต้องฝึกจิตใจของเราให้เป็นผู้ใหญ่ เป็นคนหนักแน่น  มีพรหมวิหารธรรม มีคุณธรรม

เรื่องดีเรื่องชั่วสิ่งภายนอกเราอย่าเอามาใส่ใจของเรา เพราะสิ่งภายนอกมันมีทั้งดีทั้งชั่ว เรารู้แล้วก็แล้วไป ส่วนใหญ่น่ะเราอุเบกขาน้อย ชอบเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาใส่ในใจของเรา ไม่ปล่อยให้มันหายไปสลายไป ตัวของเราก็ยังแย่อยู่แล้วเรายังจะไปเอาเรื่องภายนอกมาใส่ใจของเรา มาเก็บไว้ในใจของเรา

พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกคนถือเอาเรื่องสิ่งต่าง ๆ มาฝึกใจของเรา เราจะปล่อยได้วาง  เราจะได้ไม่โศกเศร้าเสียใจพิลัยรำพัน ถ้าเราไม่ฝึกอย่างนี้น่ะไม่ได้ เราเป็นคนฉลาดมากเป็นคนเก่งมากน่ะ ถ้าเราไม่ฝึกใจของเรา เราก็เป็นคนโรคประสาทมากเหมือนกัน เพราะว่าปัญญากับสมาธิมันไม่สมดุลกันไม่เสมอกัน ชอบวิ่งตามอารมณ์ชอบเอาเรื่องภายนอกมาเผาตัวเอง มาไว้ในจิตในใจของเรา

ทุกท่านทุกคนต้องอดได้ทนได้ถึงแม้จะอึดอัดก็ช่างหัวมัน ถึงจะแน่นหน้าอกก็ช่างหัวมัน  เดี๋ยวทุกอย่างมันก็ผ่านไป ถ้าเราไม่อดไม่ทน ถ้าเราไม่ตั้งมั่นในสมาธิ ปัญญาเราก็ไม่เกิด เพราะ  “ศีล สมาธิ ปัญญาจะเกิดได้ก็เพราะความอดความทน”


พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราหนีปรากฏการณ์ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นไม่ต้องหนี บุคคลที่เราไม่ชอบใจเราอย่าหนี การงานที่เราไม่ชอบใจเราอย่าหนี ทุกอย่างที่เราไม่ชอบใจเราอย่าไปหนี ทุกวันนี้ที่เรา  เป็นทุกข์อยู่นี้เพราะเราจะพากันหนีสิ่งที่ไม่ชอบใจ

พระพุทธเจ้าท่านให้เราแก้ที่จิตที่ใจของเราแก้ที่คำพูดที่การกระทำของเรา ปรับปรุงตัวเองแก้ปัญหาให้มันได้ เราอย่าหนีไปไหนเพราะความทุกข์มันอยู่ที่จิตที่ใจของเรา หนีไปแล้วมันก็ไม่จบ เหมือนกับพระอานนท์เดินตามพระพุทธเจ้า คนที่อิจฉาพระพุทธเจ้าจ้างคนมาด่าพระพุทธเจ้า  พระอานนท์เดินตามพระพุทธเจ้าคอยแต่ผลักหลังพระพุทธเจ้าให้เดินไปข้างหน้าให้พระพุทธเจ้าหนี พระพุทธเจ้าท่านถามอานนท์ว่าจะหนีไปไหน จะหนีไปตรงที่เค้าไม่ว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับ  พระอานนท์ว่าทำอย่างนั้นไม่ถูกเพราะปัญหามันอยู่ที่ใจเรา ถ้าใจเราไม่มีปัญหาทุกอย่างมันก็ไม่มีปัญหา

พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุก ๆ คนกลับมาแก้ไขตัวเองปรับปรุงตัวเองพัฒนาตนเอง  เรื่องทุกเรื่องมันแก้ได้หมดน่ะ แก้ไม่ได้ก็คือความแก่ความเจ็บความตายมันแก้ไม่ได้เพียงแต่บรรเทาเท่านั้น  อย่างเรานี้หิวก็ทานข้าว เหนื่อยก็เปลี่ยนอิริยาบถมันก็แก้ได้ชั่วคราว

ทุกท่านทุกคนอย่าพากันหนีปัญหานะ ให้แก้ใจตัวเอง แก้การกระทำของตัวเอง  คำพูดของตัวเอง มันจะเป็นวิธีการแก้ที่ถูกต้องและดีที่สุด

พระพุทธเจ้าท่านให้เราฝึกสมาธิในการทานอาหารในการพักผ่อน

คนเราน่ะเรื่องทานอาหารเรื่องพักผ่อนนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะชีวิตของเราต้องเดินด้วยอาหาร และด้วยการพักผ่อน คนทุกวันนี้เป็นโรคมะเร็งกันเยอะมากจริง ๆ เพราะสาเหตุมันมาจากเรื่องอาหารกับเรื่องจิตเรื่องใจ

พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีสติมีปัญญาในเรื่องทานอาหาร เราจะเอาแต่เรื่องเอร็ดอร่อยอย่างเดียวไม่ได้ ต้องคำนึงถึงโรคภัยไข้เจ็บ เพราะว่าอาหารมันมีทั้งคุณและโทษ ต้องให้ทุกคนรู้จักเบรคตนเองหยุดตนเอง ของอร่อย ๆ มันชอบ ต้องเบรกตัวเองนะ อย่าให้มันมากเกินอย่าให้มันน้อยเกิน  ส่วนใหญ่ถ้าอันไหนมันชอบมันจะมากเกินนะ กว่าจะรู้ตัวมันก็สายแล้ว พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสว่า  ให้ทุกคนเป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภค

ทุก ๆ วันนี้เราพากันพัฒนาเรื่องความอร่อย แต่เราไม่ได้พัฒนาเรื่องเป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภค เวลาความอยากมาความหิวมาส่วนใหญ่มันควบคุมตัวเองไม่ได้นะ

พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้หนักแน่นเข้มแข็ง ต้องมีสมาธิ ถ้าไม่มีสมาธิแล้วไม่ได้ เหมือนบุรุษคนหนึ่งแบกภาชนะน้ำผึ้งข้ามทะเลทราย แต่น้ำผึ้งมันเจือปนด้วยยาพิษ บุรุษนั้นต้องมีสติมีสมาธิ  ข่มจิตข่มใจตัวเอง หยุดตัวเอง ถ้าไม่อย่างนั้นจะอดกินน้ำผึ้งในภาชนะที่แบกข้ามทะเลทรายไปไม่ได้ ร้อยคนอย่างนี้ส่วนใหญ่ก็จะอดทนต่อความอยาก ความหิวความกระหายไม่ได้ ส่วนใหญ่ก็จะตายเพราะน้ำผึ้งที่มียาพิษ ต้องเป็นบุคคลพิเศษ เป็นบุคคลที่อดทนอดกลั้นจริง ๆ นะ อย่าไปทำตามความอยาก อย่าไปทำตามเพื่อน ต้องมีสติมีสมาธิเพราะเรื่องทานอาหารนี้เป็นเรื่องสำคัญ

เรื่องพักผ่อนก็เหมือนกันนะ... การทำงานอย่างนี้ถ้าเรามีความสุขในการทำงานมันก็เป็นการพักผ่อนเหมือนกัน เป็นการคลายเครียดเหมือนกัน แล้วก็ถึงเวลานอนเวลาพักผ่อนพระพุทธเจ้าท่านก็ให้เราพากันพักผ่อน อย่าพากันไปกินไปเล่นไปเที่ยว ไปกินเลี้ยง ไปทำกิจกรรมอะไรต่าง ๆ เหล่านี้  ก็ต้องจัดสรรเวลาให้ดีนะ ถ้าถึงเวลานอนเวลาพักผ่อนน่ะ เราไปเล่นคอมพิวเตอร์ เล่นอินเตอร์เนท  ไอแพด ไอโฟน ไปเล่นโทรศัพท์มือถือ เพราะแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ๆ มันจะออก  มาเรื่อย มันจะเป็นการเบียดบังเวลาที่จะต้องนอนต้องพักผ่อน เครื่องอำนวยความสะดวกสบายเหล่านี้เค้าสร้างมาเพื่อให้เราใช้การใช้งานเพื่อให้สะดวกสะดวกมากขึ้นรวดเร็วมากขึ้นไม่ใช่ให้เรามาเล่น  มาหลงนะ ถ้าเรามาเล่นมาหลงเค้าเรียกว่าเป็นการตกนรกหลุมเล็กหลุมใหญ่นะ พวกปัญญาชน  พวกเรียนมากรู้มากมันมาเสียเพราะเรื่องนี้แหละ

ต้องหยุดตัวเองเบรกตัวเอง ถึงเวลาจะนอนพักผ่อนให้รู้จักไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิ ปล่อยวางทุกอย่างไม่ว่าดีไม่ว่าชั่ว ไม่ว่าสุขไม่ว่าทุกข์ เรื่องชอบไม่ชอบปล่อยวางหมด เอาทิ้งออกจากใจเราหมด ให้มันเหลือแต่ลมหายใจ แล้วก็มาฝึกหายใจเข้ารู้ให้สบาย  มาฝึกหายใจออกก็รู้ให้สบาย ให้เรามาพักผ่อนอยู่กับลมหายใจนั้นนะ ลมหายใจเข้าก็รู้สบายลมหายใจออกก็รู้สบาย ให้ปล่อยให้วาง  ให้พักผ่อน เพราะหัวใจของเรามันกระจุยกระจายมาทั้งวันแล้ว เราจะมาปล่อยมาวางมาละมาเลิก  เพื่อจิตใจของเราจะได้ตัดวงจรที่มันหมุนทั้งวันให้มันน้อยลง

พระพุทธเจ้าท่านให้เราทำอย่างนี้แหละ ใหม่ ๆ เราทำไม่เป็น เราฝึกปล่อยวาง ฝึกเสียสละ  ฝึกไม่เอาไม่มีไม่เป็น มันจะดีมันจะชั่ว มันจะทุกข์จะจน จะมีเรื่องมีราวอะไรก็ปล่อยวางให้หมด  เราปล่อยได้สักนาทีหนึ่งก็ยังดี

สมาธิคือความไม่โลภไม่โกรธไม่หลง ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีเราไม่มีเขาไม่มีผู้หญิงไม่มีผู้ชาย  ไม่มีได้ไม่มีเสีย ไม่มีสมมุติอะไรทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าท่านให้เราฝึกปล่อยฝึกวาง จะได้แยกใจออกจากกาย แยกใจจากโลกธรรมนะ ต้องฝึกปล่อยฝึกวางนะ ถ้าไม่ฝึกไม่ได้ อันนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตของเรา  ถ้าเราทำได้นาน ๆ ยิ่งดี ยิ่งเป็นบุญใหญ่เป็นอานิสงส์ใหญ่ เราฝึกปล่อยฝึกวางหมด ความรักความชอบความโกรธความเกลียดมากี่สิบปีแล้วก็ต้องปล่อย ไม่ต้องไปคิดมาก เราคิดมากมันก็บาปมาก  เรายึดมากมันก็บาปมาก ต้องฝึกปล่อยฝึกวาง

เราอย่าไปอยากให้มันเป็นสมาธิ เพราะสมาธิไม่มีความอยาก มีแต่ความปล่อยความวาง  เรานั่งสมาธิหรือนอนสมาธิทำใจเป็นสมาธิเพื่อมุ่งความสงบ เพื่อมุ่งไม่มีตัวไม่มีตนนะ

การใช้เงินการใช้สตางค์นี้พระพุทธเจ้าท่านให้ทุกคนมีสมาธิเหมือนกันนะ เพราะทุกวันนี้น่ะความเป็นอยู่ของเราล้วนแต่มาจากเงินจากสตางค์ทั้งนั้น เรื่องอาหารการกินที่อยู่ที่นอนยานพาหนะ  มีแต่ใช้เงินทั้งนั้น ต้องวางแผนในการใช้เงิน ถ้าเราไม่มีการวางแผนน่ะเราต้องมีทุกข์แน่นอน เงินเดือนมากเท่าไหร่ก็ทุกข์ ทรัพยากรต่าง ๆ ที่เราใช้กันนี้ส่วนใหญ่ได้มาจากการเบียดเบียนธรรมชาติทั้งนั้น เป็นการตัดไม้ทำลายป่าทำลายภูเขาทำลายแม่น้ำ ทำลายสัตว์ต่าง ๆ ที่เราบริโภค ถ้าเราไม่วางแผน  ในการใช้เงินมันสร้างบาปทั้งทางใจทั้งทางกายนะ ต้องบริหารเงินตามความเป็นจริง ทุกวันนี้น่ะคน ๆ หนึ่งนี้ก็รู้ว่าตัวเองเงินเดือนเท่าไหร่แต่ไม่รู้ว่าตัวเองใช้อะไรบ้าง สุดท้ายก็เป็นหนี้เป็นสินหรือว่าไม่เหลือ

ความทุกข์ของคนส่วนใหญ่ก็ทุกข์เพราะเป็นหนี้เป็นสิน เพราะทรัพยากรที่ได้รับไม่พอรายจ่ายมันมาก

ความสุขของเราส่วนหนึ่งเอาจากการบริโภคปัจจัยทั้งสี่ เงินทองที่ได้อาศัยยานพาหนะ  ยารักษาโรค และความสุขอีกอย่างหนึ่งของเรานั้นอยู่ที่จิตใจของเราสงบนะ คนเรานี้จะรวยเท่าไหร่  จะมีอำนาจวาสนาเท่าไหร่ถ้าใจไม่สงบมันไม่มีความสุขหรอก คนที่ยังไม่รวยมันไม่รู้ แต่คนที่รวยมันรู้ว่ารวยแล้วใจมันไม่มีความสุขใจมันไม่สงบ

สรุปแล้วความสุขความดับทุกข์ของทุก ๆ คนอยู่ที่ใจสงบ อยู่ที่จิตใจที่มีสมาธิ

สมาธินั่นแหละคือความสุขคือตัวหัวใจติดแอร์ เรามาปฏิบัติธรรมอย่างนี้พากันมาฝึกสมาธิ  ให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัว อย่าพากันสรวลเสเฮฮาพูดคุยกันมาก เดินก็รู้ว่าตัวเองกำลังเดิน นั่งก็รู้ว่าตัวเองกำลังนั่ง นอนก็รู้ว่าตัวเองกำลังนอน พยายามอยู่กับตัวเองให้มันมาก ทบทวนความบกพร่องของตัวเองที่ผ่านมา ต้องแก้ไขอะไรบ้างปรับปรุงอะไรบ้าง “คนที่จะดีต้องแก้ไขนะ คนที่จะประเสริฐต้องพัฒนาตัวเอง” พัฒนาทั้งจิตใจพัฒนาทั้งการงาน พัฒนาทุกอย่างสู่ความดี ชีวิตนี้ต้องตั้งมั่นในความดีก้าวไปด้วยความดี เอาความดีเป็นที่ตั้ง ความเคยชินของเรามันมีมากมาย  มันทำไปตามที่มันเคยชินมันเรียกว่าความเคยชินหรือว่า “สัญชาตญาณ

ต้องพากันมาฝึกมาตั้งมั่น อดเอาทนเอาฝืนเอา มีความสุขมีความพอใจในการกระทำสิ่งที่มันดี ๆ อีกหลาย ๆ เดือนหลาย ๆ ปีไปตัวเราเองนี้จะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ เค้าเรียกว่าเกิดใหม่แล้ว  เกิดเป็นคนดีแล้ว เค้าเรียกว่าขึ้นจากนรกแล้ว ขึ้นจากความยากจนแล้ว ยังไม่ตายก็ขึ้นสวรรค์  ทั้งเป็นแล้ว ไปนิพพานตั้งแต่ยังไม่ตายแล้ว

เราทุกคนน่ะถือว่าโชคดีได้พากันมาอยู่วัดมาปฏิบัติธรรม การปฏิบัตินี้ให้ทุกคนเข้าใจนะ  อยู่ที่ไหนเราก็ต้องปฏิบัติธรรมหมด อยู่ที่วัดอยู่ที่บ้านอยู่ที่ทำงานก็คือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมก็คือการทำความดีเหมือนที่กล่าวมาทั้งหมดนี้

ทุก ๆ คนน่ะพระพุทธเจ้าท่านให้เราสมาทานให้เราตั้งใจในการกระทำความดีถ้าไม่ตั้งใจมันไม่ได้ ขนาดตั้งใจอยู่มันก็ยังล้มเหลวนะ ถึงต้องตั้งมั่นในสัมมาสมาธิ

ให้ทุกคนตั้งไว้ในใจเลย อันไหนดี ๆ สมาทานเอาตลอดชีวิตเลย อย่าไปอาลัยอาวรณ์ในสิ่งที่มันไม่ดีนะ ให้ทุกท่านทุกคนคิดอย่างนี้นะ ที่มาเที่ยวนี้ให้ถือว่ามาตัดกรรมตัดเวรตัดบาปตัดอกุศลออกจากใจของเรา มาสมาทานเอาความดี มาเข้าถึงพระพุทธเจ้าถึงพระธรรมถึงพระอริยสงฆ์ มารับเอาสิ่งที่ประเสริฐ ให้ทุกคนคิดอย่างนี้ แล้วก็ตั้งมั่นในใจว่าจะพยายามทำให้ดีที่สุด

หวังว่าทุกท่านทุกคนคงจะนำพระธรรมคำสั่งสอนที่ประเสริฐขององค์สมเด็จพระสัมมา  สัมพุทธเจ้าไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ...


พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยายให้แก่บุคลากรบริษัทแม่น้ำแสตนเลนไวร์ฯ

เช้าวันที่ ๑๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖


หมายเลขบันทึก: 537470เขียนเมื่อ 29 พฤษภาคม 2013 05:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 พฤษภาคม 2013 05:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ดีใจจังเลยครับ ที่เห็นผู้ปกครองพานักเรียนไปวัดนั่งสมาธิ

เราจะทำอะไรให้มันเป็นได้อย่างดีเราต้องฝึกนะ
..
ใช่เลยครับ

"สมาธิ" เป็นเคล็ดลับของการใช้ชีวิต

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท