ซอกแซกทัวร์อาเซียน ตอนที่ 2 ประเทศลาว


                 ประเทศลาว (ลาวລາວ) หรือชื่ออย่างเป็นทางการ คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ลาวສາທາລະນະລັດປະຊາທິປະໄຕປະຊາຊົນລາວ, อักษรย่อ: ສປປ.ລາວ) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพื้นที่ 236,800 ตารางกิโลเมตร มีพรมแดนติดต่อกับจีน ทางทิศเหนือ ติดต่อกับพม่าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ติดต่อกับเวียดนามทางทิศตะวันออก ติดต่อกับกัมพูชาทางทิศใต้ และติดต่อกับประเทศไทยทางทิศตะวันตก กั้นด้วยแม่น้ำโขงเป็นบางช่วง คนลาวจะพูดภาษาลาวที่มีภาษาพูดคล้ายภาษาอีสานมากค่ะ      

               รู้ประวัติของประเทศลาวอย่างคร่าว ๆ แล้ว เรามาซอกแซกทัวร์ อาเซียนตอนที่ 2 กันดีกว่าค่ะ จำได้ว่าผู้เขียนไปลาวครั้งแรก ตอนมาอยู่เมืองอุดรธานี ได้แค่เดือนเดียวก็ตะเวนเที่ยวซะแล้ว ไม่นานหรอกค่ะ แค่ 25 ปีที่ผ่านมานี่เอง นับแต่วันนั้นมาจนถึงบัดนี้ ไปลาวนับได้ราว ๆ นับร้อยครั้งมั้ง (จำไม่ได้จริง ๆ ค่ะ) ไปครั้งแรกเพราะตัวเองอยากไปแต่หลังจากนั้นเป็นการพาคนอื่นไปเที่ยวซะมากกว่าค่ะ เสียดายว่าประเทศลาวมีประวัติศาสตร์ยาวนาน แต่กลับไม่มีร่องรอยการบันทึกประวัติศาสตร์ นี่คือข้อเสียของคนเอเชียที่มีอารยธรรมยาวนานแต่ไม่ชอบจดบันทึก มักนิยมบอกเล่ากันปากต่อปาก ทำให้ข้อมูลประวัติศาสตร์หลาย ๆ ช่วงของประเทศแถบเอเชียขาดหายไปอย่างน่าเสียดาย

            ผู้เขียนข้ามด่านที่ ด่าน ตม.ฝั่งหนองคายค่ะ ห่าง จ.อุดรธานี แค่ 50 กม.ขับรถไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงด่านแล้ว แวะฝากรถไว้ 50 บาท ใช้พาสปอร์ตข้ามเสียค่าข้ามแดน 40 บาท อยู่ได้ 30 วัน ไม่ต้องขอ Visa ให้ยุ่งยากเพราะเป็นประเทศที่มีพรมแดนติดกันได้รับการยกเว้นอยู่แล้วค่ะ แต่ถ้าไม่มีพาสปอร์ต แวะทำ Bording Pass ก่อนถึงตัวเมืองหนองคาย ไฟแดงแรกหลังคาแดง ๆ เลี้ยวซ้ายเข้าไปเลยค่ะ ใช้บัตรประชาชนทำเสียค่าบริการ 40 บาท เปิดตั้งแต่ 06.00-17.00 น. ไม่มีวันหยุดราชการค่ะ แต่เวลาข้ามแดนจะเสียค่าผ่าน ตม. 85 บาท น่ะค่ะ

            ผ่าน ตม.มาเรียบร้อย ขึ้นรถบัสน่อย(น้อย = Suttle Bus) คนละ 20 บาท แลนข่ามขัว (วิ่งข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว) ประมาณ 10 นาที ก็ถึง ตม.ลาวแล้วค่ะ แวะซื้อบัตร One Way Ticket  1 ใบ เพื่อข้ามไปฝั่งลาว จ่ายไปคนละ 40 บาท บาท สังเกตว่า ทางการลาวพยายามพัฒนาระบบอะไร ๆ มากมาย แต่ลืมพัฒนาคน ทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้ล่าช้ามาก ขนาดซื้อ One Way Ticket ยังมะงุ่มมะง่ามพอสมควรกว่าจะขายให้ได้แต่ละใบ ถ้าเราเข้า-ออก ประเทศภายในวันเดียว ขากลับไม่ต้องเสียค่าบัตรอืกน่ะค่ะ แต่ถ้าออกหลัง 18.00 น. จะเสียค่าออกอีก 40 บาท ค่ะ ถ้าใช้ Bording Pass ก็จ่ายอีก 85 บาท ผู้เขียนมาถึงด่านขากลับเกือบห้าโมงเย็นยังไม่ได้ Shopping ที่ Duty Free จึงรีบไป Stamp ขาออกและรับบัตรมาก่อน จุดนี้ผู้เขียนมองว่าเค้ายังล่ะหลวมอยู่มากพอสมควร เพราะถ้าคนรู้ทางหนีทีไล่ ก็คงใช้วิธีการเดียวกับผู้เขียนประหยัดไปอีก 40 บาท ในประเทศอื่น เมื่อคุณ Stamp ขาออกปุ๊ป มันจะเป็นช่องทางให้เราต้องเดิน ๆ ออกไปทางเดียว ไม่สามารถ เลี้ยววกไปใน Duty Free ได้อีกเลย


 

ตู้นี้เอาไว้ Check ว่าเงินในบัตรเราเหลือเท่าไหร่.....เอ๋าทำไมเค้าไม่สั่งตู้ที่มันเติมเงินได้พร้อมเลยล่ะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปซื้อที่ Counter อีกรอบ .........ป๊ะทำอะไร ทำไมไม่ทำให้มันจบ ๆ ซะทีเดียว หุหุหุ

 

 

                 ตรงด่าน ตม.จะมีเจ้าของรถตู้หลายเจ้าเดินมาถามบริการรถตู้ ถ้าช่วง Hi-Seasons ตกราว ๆ 1200-2000 บาท ต่อวัน ช่วง Low Seasons ประมาณ 7-1000 บาทค่ะ ผู้เขียนได้รถตู้ของอ้ายอ๊อด 700 บาท เก่านิดหน่อย แต่แอร์เย็นดีมาก อัธยาศัยดี กระตือรือร้นที่จะบริการ มาที่นี่ไม่ต้องพึ่งไก๊ด์ให้เสียตังค์เพิ่ม คนขับรถตู้สามารถบรรยายได้คร่าว ๆ ค่ะ  รถตู้ที่นี่จะเริ่มและสิ้นสุดที่ ตม.ลาวค่ะ เพราะถ้าข้ามขัวมา ค่ารถข้ามไป-กลับ เที่ยวละ 500 บาท หุหุหุ หนักเอาการ ราคานี้วิ่งแค่ในนครเวียงจันทน์น่ะค่ะ ถ้าออกนอกเขตราคาจะเพิ่มขึ้น ผู้เขียนเคยพาลูกทัวร์ออกไปต่างอำเภอ เค้าคิด 2500 บาท แต่บางกลุ่มระบุมาว่า เครื่องเสียงต้องดี รถต้องใหม่ แอร์ต้องเย็นเปิดตลอดเวลาถึงแม้ตอนจอด ราคามันก็จะเพิ่มเป็นเงาตามตัวน่ะค่ะ เตือนไว้ก่อน

 

        หน้าตารถบัสน่อย หรือ  Suttle Bus ค่ะ ติดแอร์ทุกคันค่ะ ..........แอร์กี่ หันไปเห็นฝรั่งหัวแดง ๆ เหงื่อท่วมหัวล้านเล้ย........เอิีกกกกก

             จุดแรกที่แวะคือ พระธาตุหลวงค่ะ ผู้เขียนมาถึง 12.30 น. พระธาตุหลวงปิดช่วง 12.00-13.30 น. จึงได้แค่แวะถ่ายรูปด้านนอกค่ะ พระธาตุหลวง หรือ พระเจดีย์โลกะจุฬามณี (ลาว: ທາດຫລວງ หรือ ลาว: ພຣະທາດຫລວງ) ศูนย์รวมใจของประชาชนชาวลาวทั่วประเทศ ตามตำนานกล่าวว่าพระธาตุหลวงมีประวัติการก่อสร้างนับพันปีเช่นเดียวกันพระธาตุพนมในประเทศไทย และมีความเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของดินแดนทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงอย่างแยกไม่ออก สถานที่นี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างของประเทศลาว ดังปรากฏว่าตราแผ่นดินของลาวที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีรูปพระธาตุหลวงเป็นภาพประธานในดวงตรา


 

 

                 ตามตำนานอุรังคนิทานได้กล่าวไว้ว่า พระธาตุหลวงสร้างขึ้นคราวเดียวกับการสร้างเมืองนครเวียงจันทน์ หลังจากก่อสร้างพระธาตุพนมแล้ว ผู้สร้างคือ บุรีจันอ้วยล้วย หรือ พระเจ้าจันทบุรีประสิทธิศักดิ์ เจ้าเหนือหัวผู้ครองนครเวียงจันทน์พระองค์แรก พร้อมกับพระอรหันต์ 5 องค์ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนหัวเหน่า 27 พระองค์ ซึ่งได้อัญเชิญมาจากเมืองราชคฤห์ ประเทศอินเดีย โดยก่อเป็นอุโมงค์หินคร่อมไว้ อุโมงค์นั้นกว้างด้านละ 5 วา ผนังหนา 2 วา และสูงได้ 4 วา 3 ศอก เมื่อได้ทำการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ว พระเจ้าจันทบุรี จึงได้มีพระราชดำรัสให้เสนาอำมาตย์สร้างวิหารขึ้นในเมืองจันทบุรีหรือนครเวียงจันทน์ 5 หลัง เพื่อให้เป็นที่อยู่จำพรรษาของ พระอรหันต์ทั้ง 5 องค์นั้นด้วย ตามตำนานดังกล่าวระบุศักราชการสร้างว่าอยู่ในช่วง พ.ศ. 238

                

                   ในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง และในพงศาวดาวลาวฉบับต่างๆ ก็ระบุด้วยว่านับตั้งแต่พระเจ้าฟ้างุ้มเสวยราชสมบัติที่เมืองหลวงพระบางแล้ว ก็ได้มีการส่งเชื้อพระวงศ์และขุนนางสำคัญมาปกครองเมืองนี้โดยตลอด จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2109 หลังจาก พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช วีรกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรล้านช้าง ได้ทรงย้ายราชธานีเมืองเชียงทองหลวงพระบาง ลงมายังนครเวียงจันทน์ได้ 6 ปีแล้ว พระองค์จึงได้มีพระบรมราชโองการให้สร้างองค์พระธาตุหลวงขึ้นมาใหม่ ในเขตพระราชอุทยานทางด้านทิศตะวันออกของกรุงเวียงจันทน์ โดยสร้างครอบพระธาตุองค์เก่าที่มีมาแต่โบราณกาล เมื่อสร้างพระธาตุหลวงเสร็จแล้ว จึงทรงขนานนามพระธาตุนี้ว่า "พระธาตุเจดีย์โลกจุฬามณี” หรือ “พระธาตุใหญ่” (แต่คนส่วนมากมักเรียกว่า “พระธาตุหลวง”) และมีพระราชโองการให้อุทิศข้าพระธาตุจำนวน 35 ครอบครัว อยู่เฝ้ารักษาพระธาตุนี้ พร้อมทั้งที่ดินสำหรับให้ครอบครัวของข้าพระธาตุทำกิน องค์พระธาตุมีความสูง 45 เมตร รูปลักษณะคล้ายดอกบัวตูม  ที่นี่มีประเพณีนมัสการพระธาตุหลวง ในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 12 ตอนบ่าย ตามปฏิทินของลาวในทุก ๆ ปีค่ะ วันออกพรรษาของลาวจะก่อนไทย 1 วันและจะมีปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ตรงกับวันออกพรรษาของลาว อย่าลืมแวะมาเที่ยวกันน่ะค่ะ ผู้เขียนไปถึงตอนเที่ยง พระธาตุปิดช่วง 12.00-13.30 น. ก็เลยไม่ได้ไปกราบข้างใน  ค่าเข้าชมราว ๆ 20 บาท ค่ะ

                เกือบบ่ายโมงแล้วค่ะ กลัวลูกทัวร์ที่หลงมาใช้บริการผู้เขียนหิวข้าว พาแวะไปกินเฝ่อ (ก๋วยเตี๋ยวเวียดนาม) เฝ่อเป็นภาษาเวียดนามค่ะ ชามนี้ กะละมังน้อย ๆ ค่ะ ชามเล็ก ล่อไปซะ 80 บาท ถ้าสั่งพิเศษ ก็น้อง ๆ กาละมังล้างจาน ราคา 100 บาทเชียวค่ะ ที่ลาววัตถุดิบเกือบทั้งหมดเค้าข้ามมาซื้อที่ฝั่งไทยค่ะ นับตั้งแต่ผงชูรส ยันแฟ้ป สบู่ ยาสีฟัน ยางรถยนต์ เสื้อผ้า ฯลฯ สินค้าหลาย ๆ ชิ้นจึงมีราคาสูงกว่าปกติหลายเท่าตัว คนที่นี่ถ้าได้กินเฝ่อ เค้าจะถือว่ามื้อนั้นเค้าได้กินอาหารระดับฮ่องเต้เขียวน่ะค่ะ ผู้เขียนจึงมักเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวคนขับรถตู้ทุก ๆ ครั้งค่ะ กระปุกสีน้ำตาลเป็นกะปิลาวค่ะ รสชาติดีทีเดียว ไม่เค็มปี้เหมือนบ้านเราค่ะ ส่วนน้ำชาเขียวก็หอมอร่อยดีมากด้วย

               ในอดีตลาวเคยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ทำให้ที่ลาวมีคนหลายเชื้อชาติเข้ามาอาศัยอยู่น่ะค่ะ ยิ่งถ้าไปเจอสาว ๆ เลือดผสม 3 ชาติ คือ ลาว ฝรั่งเศส เวียดนาม สวยจนผู้เขียนเหลียวหลัง จนต้องแอบถ่ายรูปแม่หยิงลาว (ภาษาลาวจะเขียนตรง ๆ ตัวแบบนี้แหล่ะค่ะ แม่หยิง= ผู้สาว =ผู้หญิง)

             

    แม่หยิงลาวคนนี้ สวยสะดุดตาผู้เขียนมาก ขาวใส ๆ ปากนิดจมูกหน่อย  ไม่ได้ทำศัลยกรรมใบหน้ามาเลย สวยธรรมชาติ คาดคะเนแล้วน่าจะ มีเชื้อลาวผสมเวียดนามค่ะ

               

                   จุดที่สองคือ หอพระแก้ว เมื่อก่อนเคยเป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของลาว พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช มีพระราชประสงค์ให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2108 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ได้อัญเชิญมาจากนครเชียงใหม่อาณาจักรล้านนา เมื่อต้องเสด็จกลับมาครองราชบัลลังก์ล้านช้างหลังจากที่พระราชบิดาคือพระเจ้าโพธิสารสิ้นพระชนม์ลงในการทำศึกสงครามกับประเทศสยาม เมื่อปี พ.ศ. 2322 นครเวียงจันทน์ถูกกองทัพสยามตีแตก กองทัพสยามได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของนครเวียงจันทน์ไป พร้อมทั้งกวาดต้อนราชวงศ์ชาวลาวกลับไปยังกรุงเทพฯมากมาย

 

 

 

  (เชื่อไหมค่ะ .......ทีแรก ผู้เขียนอ่านว่า ............หำพระ ................เอิีกกกก)

       

  

   

      สำหรับหอพระแก้วที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นของที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่เกือบทั้งหมด ในปี พ.ศ. 2480 - 2483 ภายใต้การควบคุมดูแลการก่อสร้างของ เจ้าสุวรรณภูมา ผู้ที่จบการศึกษาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์จากกรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส และต่อมายังได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังจากได้รับเอกราชอีกด้วย  ปัจจุบันหอพระแก้วไม่ได้เป็นวัดแล้วน่ะค่ะแต่เป็นพิพิธภัณฑ์ ผู้ที่แต่งกายไม่เรียบร้อย ทางการลาวมีผ้าถุงบริการฟรีตรงทางเข้าค่ะ  ค่าเข้าชม 20 บาท

 

 

 

 

 

 

 

 

 

               

 

           บันไดทางขึ้นโบสถ์เป็นรูปปั้นพระยานาค ซึ่งเป็นสัตว์ในตำนานเกิดมาควบคู่กับลำแม่น้ำโขง และยังพบเห็นได้ทั่วไป สมัยที่ท่านหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ยังไม่มรภาพ ท่านเคยเขียนบอกเล่าว่า ช่วงเข้าพรรษา ในขณะที่ท่านจำพรรษา ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ท่านได้เทศน์โปรดญาติโยมทุกคืน ภายในโบสก์ ได้มีสองสามีภรรยา พาเรือข้ามมาจากฝั่งลาว นุ่งชุดขาว ห่มขาวนั่งฟังเทศน์ทุกค่ำคืน จนเวลาล่วงเลยจะออกพรรษา สามีได้ขอปวารนาเป็นศิษย์หลวงปู่ ส่วนสามีได้กราบเรียนหลวงปู่ว่า อยากบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา ท่านหลวงปู่ได้กล่าวว่า...."เจ่าบวชบ่ได๋ดอก ....เจ่าเป็นสัตว์เดรัจฉาน บ่แม่นมนุษย์"...

        ทำให้ฝ่ายผู้เป็นสามีโศกเศร้าและเสียใจมาก ทั้งสองสามีภรรยาได้กลายร่างเป็นพญานาคเลาะข้างกำแพงโบสถ์ลงสู่แม่น้ำโขง

        วัดหินหมากเป้ง ที่ได้ชื่อนี้เพราะด้านหลังวัดติดแม่น้ำโขงที่สามารถมองเห็นฝั่งลาวได้อย่างชัดเจน และมีหินก้อนใหญ่ ๆ จำนวนมากเสมือนกำแพงธรรมชาติที่กั้นไม่ให้น้ำโขงกระแทกซัดตลี่งริมฝั่งไทยหายไปโผล่ที่ฝั่งลาว เหมือนดังเช่นแถว ๆ ท่าเสด็จ หนองคายและอีกหลาย ๆ เมือง จดท่านพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้อนุมัติงบประมาณทำกำแพงกั้นตลิ่งเซาะ และทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน ด้วยเหตุธรรมชาติของน้ำโขง เพราะตามหลังสากลเค้ายึคสันปันน้ำเป็นเขตแดน.......เอ๋าข้ามมาฝั่งไทยซะยาวเชียว ไปต่อที่ฝั่งลาวกันดีกว่าเน๊อะ

 

            ลองเดากันเล่น ๆ ดูว่าคืออะไรค่ะ

             

           

           เป็นช่องระบายลม และน้ำภายในโบสถ์ค่ะ ภูมิปัญญาของช่างสมัยโบราญช่างล้ำลึก น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

 

 

 

 

 

 

        คนลาวศรัทธาและยึคมั่นในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากค่ะ วัดแต่ละวัดวิจิตร สวยงาม ละเอียดอ่อน รูปนี้เป็นพระพุทธรูปรอบ ๆ ตัวโบสถ์ สังเกตที่ส่วนยอดของเศียรพระจะหายไป ส่วนนั้นจะทำด้วยทองคำบริสุทธ์ เมื่อครั้งลาวแตกและฝรั่งเศสเข้ายึคครอง ได้สูญหายไปทั้งหมดค่ะ

 

         เจอฝรั่งกลุ่มนี้ มาจากสวีเดน พักที่ลาว 2 สัปดาห์ แล้วจะไปเวียดนามต่อค่ะ เดี๋ยวมาดูน่ะค่ะว่าผู้เขียนติดใจอะไรฝรั่งกลุ่มนี้เป็นพิเศษ (เป็นคนชอบหาเศษหาเลยทุก ๆ ทริป) เอิ๊กกกกกกก

                                              เอ๋านี่ไงที่ทำให้ผู้เขียนติดใจ ...................

         FC คนไหนทายถูกว่าผู้เขียนติดใจอะไร ..... ผู้เขียนมี Souvenir จากลาวมาฝากด้วยค่ะ โพสต์คำตอบไว้ได้เลยน่ะค่ะ  5555555 หาของมาล่อ FC ซะแล้ว กลัวจะไม่เชื่อว่า ผู้เขียนคิดถึง FC ทุกท่านมากแค่ไหน รักน่ะตัวเอง จุ๊บๆๆๆๆๆ

            ใบเสมาโบราณ ที่ใช้ปักเขตแดนว่าเป็น เขตศาสนาสถานค่ะ เสียดายไม่มีคำอธิบาย ที่จะให้นักท่องเที่ยวศึกษาหาความรู้

 

 

      

        

              หลังคาโบสถ์หอพระแก้ว ยังมุงด้วยไม้แผ่นเล็ก ๆ ที่คงสภาพและแข็งแรงมาก มีจุดที่ชำรุดบ้างนิดหน่อย ขือก็ยังเป็นไม้ ส่วนเสาคือเสาปูนที่สลักสลวย สวยงามมาก ๆ ค่ะ

              ประตูไซ (ประตูชัย)  สร้างเพื่อเฉลิมฉลองได้รับอิสรภาพจากฝรั่งเศส สร้างเมื่อ คริสต์ทศวรรษ 1960 ประตูชัยประเทศลาว สร้างขึ้นโดยรัฐบาลฝรั่งเศสสมัยเข้ามาครอบครองประเทศ โดยสร้างถนนและประตูชัยให้คล้ายกับชอง เอลิเซ่ในฝรั่งเศส แต่ยังสร้างไม่เสร็จดี ชาวลาวก็ประกาสอิสรภาพเสียก่อน ดังนั้น คำว่าชัยชนะของประตูนี้จึงหมายถึงชัยชนะของชาวลาว บริเวณรอบ ๆ ประตูชัยเป็นลานกว้างมีประชาชนชาวลาวมานั่งเล่นโดยรอบ นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวเมืองเวียงจันทน์ด้านบนของประตูไซได้ค่ะ ค่าเข้าชมราว ๆ 20 บาท


 

 

 

 

 

 

          

 

  ไม่ไกลจากประตูไซคือทำเนียบรัฐบาลที่ในอดีตเป็นวังของกษัตริย์องค์สุดท้ายก่อนที่ลาวจะแตกค่ะ ผู้เขียนมาเที่ยวลาว นับร้อยครั้ง ไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตด้านในเลย ไม่รู้ว่าใช้ทำการได้จริงรึเปล่า และถนนฝั่งนั้นก็ไม่มีคนสนใจเดินด้วย แต่ตัวอาคารมากี่ครั้ง ๆ ก็ดูดี ร่มรื่น สง่างามและยังคงทาสีแบบเดิม ๆ เหมือนเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ดูแล้วน่าเกรงขามทุกครั้งค่ะ สามารถเดินย้อนมาจากประตูไซได้ไม่เกิน 5 นาทีก็ถึงแล้ว

 

              กำลังถ่ายรูปอยู่ดี ๆ ได้ยินเสียงเอะอะ หันไปดูเห็น ท่านคุณตำรวจลาวเรียกพ่อหนุ่มมอเตอร์ไซค์จอด จับใจความได้ว่า พ่อหนุ่มไม่จอดรอสัญญานไฟ ได้ยินแต่ท่านคุณตำรวจพูดดัง ๆ ว่า .....”เจ่าเห็นบ่ แม่นหยั่งนี่”........ แล้วก็ตบไปที่แง่งน้อย ๆ เน่า ๆ เปื่อย ๆ ที่ลืมถอดออกตอนซักบนบ่า (บั้งน้อย ๆ บนบ่า) หุหุหุหุ ถ้าเป็นเมืองไทยน่ะ รับรองท่านคุณตำรวจได้ออกสื่อทาง Social Network แน่ ๆ ทำเป็นกร้านไม่ได้หรอก เอิ๊กกกกก ส่วนพ่อหนุ่มมอเตอร์ไซค์ หงอและจ๋อยจนน่าสงสารมาก ๆ เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ผู้เขียนผ่านมาทางนี้อีกรอบ ลุนโตนผู้บ่าวน้อยมอเตอร์ไซค์ที่ยังไม่ได้ไปไหนเลย หุหุหุ        

 

      

                                                                                

                สักรูปค่ะ..........เดี๋ยวจะหาว่า              มาบ่ฮอด..............ลาว เอิ๊กกกกกกกกกก                                       

  

          ก่อนกลับผู้เขียนแวะ Duty Free ค่ะ สินค้าของก๊อปจากจีน โดยเฉพาะกระเป๋า มีทุกยี่ห้อ Long Champ ที่ฝรั่งเศสใบนึงเกือบสองพัน ที่นี่ 6-7 ใบร้อยบาท เอิ๊กกกก แต่เหล้า บุหรี่ ของแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ ราคาถูกกว่าที่เมืองไทยประมาณ 90-150 บาท อ่อสินค้าอีกอย่างที่เป็นที่นิยม โทรศัพท์มือถือ ipad iphone 5 Not II Note III ราคาราว ๆ 2-3000 บาท เหมือนเด๊ะ ๆ แต่คุณภาพก็สมราคา ตาได้ดี ตาร้ายเสียน่ะค่ะ

              ทริปนี้ใช้เวลาไม่นานค่ะ ครึ่งวัน ก็สามารถเที่ยวได้รอบเวียงจันทน์แล้ว งบประมาณที่จ่ายไปมีค่าน้ำมันรถอุดรธานี-หนองคาย หารกันกับเพื่อนคนละ 100 บาท ค่าฝากรถวันละ 50 บาทค่าผ่านแดน 40 บาท ค่ารถข้ามขัวไป-กลับ 40 บาท ค่าเหมารถตู้700 บาทหารกันกับเพื่อนตกคนละ 140 บาท ค่าเข้าชมหอพระแก้ว พระธาตุหลวงประตูไซ จุดละ 20 บาท เฝ๋อ 80 บาท น้ำเปล่าขวดละ 20 บาท น้ำชาเขียว 40 บาท  รวมทริปนี้จ่ายไป 570 บาทค่ะ บ่ายแก่ ๆ ก็กลับมาเที่ยวฝั่งไทย ไหว้หลวงพ่อพระใส เที่ยวศาลาแก้วกู่ ช้อปปิ้งที่ท่าเสด็จ ก่อนกลับน่ะค่ะ


              หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย เป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่เมือง ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย ซึ่งมีฐานะเป็นวัดอารามหลวง  ตั้งอยู่ที่ถนนโพธิ์ชัย ในเขตเทศบาลเมือง ห่างจากตัวเมืองหนองคายไปประมาณ 2 กิโลเมตร ตามทาง หลวงหมายเลข 212 ทางไป อ.โพนพิสัย วัดจะอยู่ทางซ้ายมือ เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก หน้าตักกว้าง 2 คืบ 8 นิ้ว ส่วนสูงจากพระชงฆ์เบื้อล่างถึงยอดพระเกศ ๔ คืบ ๑ นิ้วของช่างไม้ ประวัติการสร้าง สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานไว้ในหนังสือประวัติพระพุทธรูปสำคัญ ซึ่งพิมพ์แจกในงานทอดกฐินพระราชทาน พ.ศ. 2468 ว่า หลวงพ่อพระใส เป็นพระพุทธรูปหล่อในสมัยล้านช้าง และตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาว่า พระธิดา 3 องค์ แห่งกษัตริย์ล้านช้างเป็นผู้สร้าง บางท่านก็ว่าเป็นพระราชธิดาของพระไชยเชษฐาธิราช ได้หล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ และขนานนาม พระพุทธรูปตามนามของตนเองไว้ด้วยว่า พระเสริมประจำพี่ใหญ่ พระสุกประจำคนกลาง พระใสประจำน้องสุดท้อง มีขนาดลดหลั่นกันตามลำดับ

               ศาลาแก้วกู่  หรือชาวบ้านเรียกว่า วัดแขก ศาลาแก้วกู่ สร้างโดยปรารถนาให้ที่แห่งนี้เป็น เมืองอมตะแก้วกู่มหานิพพาน หรือดินแดนแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง เชื่อว่า ทุกศาสนาผสมผสานกันได้ ...ตั้งอยู่ ชุมชนสามัคคี อ.เมือง จ.หนองคาย ในพื้นที่ 42 ไร่ รูปปั้น ทั้งเล็กใหญ่แล้วว่ากันว่ามีไม่น้อยกว่าหลักพัน  ศาลาแก้วกู่สร้างขึ้นโดย “ปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์” หรือ “ปู่เหลือ” ( พ.ศ. 2476 – 2539 ) ซึ่งมีประวัติชีวิตและผลงานอัศจรรย์ โดยย่อ ดังนี้ นางคำปลิว สุรีรัตน์ (พี่สาวคนโตของปู่เหลือ) ชาวหนองคาย แต่งงานได้ระยะหนึ่ง ฝันว่ามีชีปะขาวนำ นาคมรกตมามอบให้ แต่บอกว่าอีก 7 เดือนค่อยไปรับมาเป็นของตน ต่อมาแม่ตั้งท้องลูกคนที่เจ็ด ในวัยสูงอายุและหมดประจำเดือนแล้ว และคลอดเมื่ออายุครรภ์ได้ 7 เดือน ทุกคนจึงเชื่อว่าเป็นไปตามนิมิตในฝัน นางคำปลิวและสามี จึงรับน้องชายมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ตั้งแต่แรกเกิด  ....ด.ช.บุญเหลือชอบเข้าวัดมาแต่เด็ก พออายุได้หกขวบนางคำปลิวเสียชีวิตลง สามีนางคำปลิวมีภรรยาใหม่ ด.ช.บุญเหลือจึงกลับไปอยู่กับ พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แต่มักขัดขวางห้ามปรามผู้ใหญ่ในทางบาปต่างๆ จึงไม่เป็นที่รักใคร่ของญาติพี่น้อง ครั้นอายุ 12 ปี ทนความกดดัน รอบข้างไม่ไหว จึงหนีออกจากบ้านรอนแรม ไปจนพบสำนักอาศรมแก้วกู่ในเขตแดนลาว และได้ฝากตัวศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติธรรมอยู่กับ พระมุนีที่นั่น 

หมายเลขบันทึก: 537277เขียนเมื่อ 27 พฤษภาคม 2013 17:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 กันยายน 2013 06:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

เจ๋ง ๆๆ คะคุณน้า  ภาพสวยมากคะ แถมเนื้อหายังสอดแทรกสาระสำคัญและประวัติต่าง ๆของที่ท่องเที่ยวแ่ต่ละแห่งด้วย ถือได้ว่าเป็นความรู้ให้กับผู้ที่อยากไปเที่ยวได้มากเลยคะ อ่านแล้วชอบ ๆๆ คะ  ปล.อิจฉาคนไปเที่ยวบ่อยจริง ๆๆ

หลานสาว คนสวย

         FC คนใหม่เหรอเนี่ย ลูกคลอกไหนน้อ แสดงตัวด้วย หุหุหุ ขอบใจหลายเด้อที่มักแฮง เอิ๊กกกกกก

ขอบคุณค่ะ ท่านอาจารย์ นิภารัตน์     FC  รีบตามมา  ยังช้าไป 2 ก้าว  ฮิ ฮิ

ลองตอบว่า  ถูกใจหนวดหนุ่มฝรั่ง เพราะรูปหมู่ดูไกล มองไม่ค่อยออก แต่เห็นหนุ่มฝรั่งหนวดโง้ง มีรูปเดี่ยวมาปะด้วย  แต่ถ้าตอบถูก ไม่เอาSouvenir จากลาว   เอาแค่ได้แวะตามไปเที่ยวจากบันทึกบ่อยๆ  ก็ดีใจแล้วค่ะ

On time 


โอ้โฮ้วยยยยยยยยยย..........สุดยอด FC ตัวจริงเลยน่ะค่ะ เนี่ย แฟนพันธุ์แท้ ขนาดช้า 2 ก้าวยังแซงคนอื่นฉลุยเลยค่ะ ........หนวดพ่อหนุ่มสเวนดีส หล่อและเท่มาก ๆ จนผู้เขียนต้องขออนุญาตเจ้าของหนวด ลูป ๆ คลำ ๆ เอิีกกกก สงสัยว่าทำไมมันโค้งและงอได้รูป แท้ที่จริงแล้วเค้าใส่เจลให้มันแข็งและอยู่ตัวนี่เอง..........ดีใจมีคนตอบถูกได้อย่างรวดเร็ว ภายใน 38 นาทีเอง.........เอารูปขยายมาให้ชมใกล้ ๆ แล้วจะรู้ว่า  ผู้ชายคนนี้ช่างน่าหลงใหลซะจริง ๆ เอิ๊กกกกกกกกก

            ขอชื่อและที่อยู่ด้วยค่ะ ผู้เขียนอยากส่ง Souvenir ไปให้ เด๋วพรุ่งนี้จัดการส่งทันที ค่ะ


ขอบคุณดอกไม้กำลังใจจากคุณ http://www.gotoknow.org/user/phachern/profile  FC ใหม่อีกท่านค่ะ

เย้ เย้ เย้  ดีใจ  ฮิ ฮิ เอิ้กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ     ท่านอาจารย์ นิภารัตน์ คะ   เพราะว่า ปีก่อนโน้น ปลวกมาเยี่ยม  พอถัดมาก็เรื่องน้ำท่วม จนกระทั่งบัดนี้ ของที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันก็ยังอยู่ในกล่องเลย  และของที่ใช้ในชีวิตประจำวันก็ไม่ได้ซื้ออะไรใหม่อีกเลย  อีกอย่างการส่งSouvenirมา ก็มีค่าส่งด้วย  ดิฉันจึงขอรับSouvenirไว้แล้วด้วยใจนะคะ ขออนุญาตรบกวนท่านอาจารย์ นิภารัตน์ กรุณาเก็บSouvenirไว้ใช้ประโยชน์ส่วนตัวตามที่ท่านสะดวก ขอบคุณมากค่ะ 

on time

FC ท่านนี้มักน้อย สมรรถะ จริง ๆ แบบนี้ ศีลห้าสบาย ๆ มา ๆ จะพาไปวัดป่าแถวอุดรธานี หลาย ๆ วัดปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ดีทีเดียวค่ะ



ดร.พจนา แย้มนัยนา

กราบขอบพระคุณ ดอกไม้กำลังใจจากท่าน FC เหนียวแน่น อีกท่านค่ะ

On time

 FC ท่านนี้ มักน้อย สมรรถะจริง ๆ  แบบนี้ ศีลห้า สบาย ๆ ...........มา ๆ จะพาเข้าวัดป่าแถวอุดรธานี มีหลายวัดที่ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ

ท่านอาจารย์ นิภารัตน์ คะ   สาธุๆๆ   ที่จริงอยากไปกราบพระมากค่ะ  ดิฉันมีภาระกิจที่ไม่สามารถใช้เวลาที่ต้องไปไหนไกลๆ และต้องกำจัดทุกสิ่งที่มีการใช้เวลาออกไปเพื่อภาระกิจหลักไว้ก่อนค่ะ   โชคดีที่สามารถไปไหนๆ และติดตามท่านอาจารย์ นิภารัตน์ ไปไหนๆ ได้ด้วยอินเทอร์เน็ต  ขอบคุณอีกครั้งค่ะ  แล้วดิฉันจะคอยตามไปเที่ยวด้วยทุกทริปนะคะ  เย้ เย้ เย้ 



...ทริปนี้เปรี้ยวมากนะคะ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท