“ลูกหว้า”
ยอดผลไม้ทำน้ำปานะสมัยพุทธกาลเมื่อตอนผมบวชอยู่วัดป่า แม่ชีถวายน้ำมะตูม น้ำลำไย น้ำมะนาว เป็นน้ำปานะก่อนทำวัตรเย็นทุกวัน
ตอนนั้นทราบแต่เพียงว่า น้ำปานะ ก็คือ เครื่องดื่ม ที่พระฉันได้หลังเที่ยงไปแล้วถึงก่อนรุ่งอรุณของวันใหม่
นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่า น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง นมถั่วเหลือง โอวัลติน น้ำฟักทอง น้ำกาแฟเย็น ที่ญาติโยมนิยมถวายพระเป็นน้ำปานะ ในยุคปัจจุบัน ใช่น้ำปานะที่ถูกต้องตามธรรมวินัยหรือไม่?พอค้นคว้าจากเว็บไซต์จึงได้ความว่า น้ำปานะ ตามที่อธิบายไว้ในพระไตรปิฎก หมายถึง เครื่องดื่ม หรือ น้ำสำหรับดื่มที่คั้นจากผลไม้ ที่พระพุทธเจ้าทรงพุทธานุญาตแก่พระภิกษุให้รับประเคนแล้วสามารถเก็บไว้ฉันได้ตลอด ๑ วัน ๑ คืน เรียกว่า ยามกาลิก ทรงอนุญาตไว้ ๘ อย่าง นิยมเรียกว่า อัฏฐบาน หรือ น้ำอัฏฐบาน (ปานะ ๘ อย่าง) ได้แก่
๑. อัมพะปานะ น้ำมะม่วง๒. ชัมพุปานะ น้ำชมพู่หรือน้ำหว้า
๓. โจจะปานะ น้ำกล้วยมีเมล็ด
๔. โมจะปานะ น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด
๕. มะธุกะปานะ น้ำมะทรางต้องเจือด้วยน้ำจึงควร
๖. มุททิกะปานะ น้ำลูกจันทน์หรือองุ่น๗. สาลุกะปานะ น้ำเหง้าบัว
๘. ผารุสะกะปานะ น้ำมะปรางหรือลิ้นจี่
ในบางตำรา ท่านผู้รู้ได้อธิบายว่า อนุโลมให้ถวายน้ำปานะแก่พระภิกษุซึ่งฉันได้โดยไม่เป็นอาบัติในเวลาวิกาล ได้แก่
๑. น้ำปานะแห่งผลไม้เล็ก เช่น ลูกหวาย มะขาม มะงั่ว มะขวิด สะคร้อ และเล็บเหยี่ยว เป็นต้น
๒. น้ำปานะเหล่านั้นผสมกับน้ำตาล แล้วเคี่ยวไฟจนเข้มข้น (ยกเว้นที่ทำจากถั่วและนม) สามารถฉันได้ จัดเป็น อัพโพหาริก เช่น น้ำอัดลมในสมัยนี้ แม้นน้ำผลไม้สำเร็จรูป เช่น น้ำองุ่นที่กรองเนื้อออกดีแล้วก็ดื่มได้
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีผู้รู้ได้ติงให้ระมัดระวังการถวายน้ำปานะ ที่ไม่อยู่ในกรอบแห่งพระธรรมวินัย
เกรงจะถูกติเตียนจากชาวบ้านผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในเรื่องนี้ผมไม่ขอออกความเห็น
แต่ขอแสดงความเห็นในเรื่องผลไม้ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ใช้ทำน้ำปานะนั้น ทำไมต้องเป็นผลไม้ ๘ ชนิด ทั้งที่มีผลไม้ธรรมชาติหรือผลไม้ที่ปลูกได้มีหลากหลายสายพันธุ์ อดจะวิเคราะห์ไม่ได้ว่า ผลไม้ที่ทรงพุทธานุญาตเหล่านี้ต้องเป็นผลไม้ที่ดีมีประโยชน์ บำรุงสุขภาพพระภิกษุให้มีพละกำลังพร้อมที่จะปฏิบัติธรรม และเป็นผลไม้ที่มีอยู่ในอินเดีย อันเป็นถิ่นพุทธภูมิหรือชมพูทวีป ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล แล้วแพร่พันธุ์มาถึงพื้นที่เอเชียอาคเณย์ (รวมถึงไทยเราด้วย) พิจารณาดูผลไม้แต่ละชนิดน่าจะมีสรรพคุณเป็นยา หรือมีสารอาหาร วิตามินที่ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ที่พระพุทธองค์ทรงหยั่งรู้แล้ว
กรณีศึกษา “ลูกหว้า” จากต้นหว้า (ทำน้ำปานะ ตามข้อ ๒ )
“ลูกหว้า” และ “เมล็ดหว้า” ตามตำราทางโภชนาการระบุว่า ในผลหว้าจะประกอบด้วย น้ำตาล วิตามินซี มีแคลเซียม(สูง) และเหล็ก ลูกหว้ามีรสเปรี้ยวอมฝาด เป็นอาหารโปรดของนก แต่เป็นผลไม้ป่าที่คนรุ่นใหม่แทบไม่รู้จัก (เพราะถูกผลไม้เกษตรเทคโนโลยีตีตลาด) ส่วนในเมล็ดหว้าจะมีสารอัลคาลอยด์
น้ำมันหอมระเหย ฟอสฟอรัส และแคลเซียม เมื่อนำมาต้มหรือบด แล้วนำมารับประทาน มีสรรพคุณใช้แก้เบาหวาน แก้บิด แก้ท้องร่วง หรือใช้ถอนพิษได้ พอได้คำตอบอย่างนี้ ก็หมดความสงสัยว่า ทำไมลูกหว้าจึงเป็น ๑ ใน ๘ ของผลไม้ทำน้ำปานะสมัยพุทธกาลต้นหว้า ในพม่าถือว่า เป็นไม้มงคล ที่หมายถึงความสำเร็จหรือชัยชนะ ในประเทศไทย ต้นหว้า เป็นไม้มงคลประจำจังหวัดเพชรบุรี “หว้า” มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Jambolan มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Syzygium cumini (L.) Skeels จัดอยู่ในวงศ์ Myrtaceae เป็นพันธุ์ไม้สกุลเดียวชมพู่ คือสกุล Syzygium ในวงศ์ Myrtaceae ขึ้นได้ดีในป่าดิบชื้นเขตร้อนใกล้ทะเล มีมากทั้งในอินเดีย พม่า ไทย และมาเลเซีย ตลอดจนฟิลิปปินส์ โดยมากหว้ามีลูกเล็กสีม่วงดำ แต่ในบางแห่ง เช่น ในฟิลิปปินส์มีลูกโตเท่าไข่นกพิราบ หว้ามีกิ่งก้านมาก แข็งแรง ปลายกิ่งห้อยย้อยลง ใบดกหนา ทำให้เกิดเป็นพุ่มทรงรูปไข่ แน่นทึบ ใบอ่อนจะแตกสีแดงเรื่อ ๆ ลูกหว้าที่นำมาขายเป็นลูกหว้าสด นิยมพรมน้ำเกลือเล็กน้อย เพื่อเพิ่มรสชาติให้ลูกหว้าสดน่ารับประทานยิ่งขึ้น
ปัจจุบัน “ลูกหว้า” กลายเป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นไวน์ลูกหว้า สินค้า O-TOP รวมทั้งผลไม้อื่นๆ ที่เคยทำน้ำปานะ ก็ถูกนำมาผลิตเป็นไวน์แทบทั้งสิ้น ด้วยความเชื่อลึกๆว่า ผลไม้ ๘ ชนิดมีสรรพคุณเป็นยา และผ่านการพิสูจน์ผลมาแล้ว ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล จีงน่าเสียดายผลไม้ที่มีคุณค่าเหล่านี้ ไม่มีใครคิดทำเป็นน้ำปานะเพื่อถวายพระภิกษุ แทนเครื่องดื่มโฆษณาที่มีอยู่ดาษดื่นในร้านสะดวกซื้ออย่างเช่นทุกวันนี้
ผมปลูกที่บ้านต้นหนึ่งครับ โตเร็วดีมากเลยครับ
พบเห็นขายในตลาดใกล้ที่ทำงานครับ แต่ก็เกรงใจที่จะซื้อกิน เพราะกินแล้ว ฟัน ปากดำ ครับอิอิ
คิดถึงตอนเป็นเด็กครับ เก็บกินที่ต้นปลายนา...
ลูกหว้าที่ต้นหน้าห้องสมุดโรงเรียนของคุณมะเดื่อจ้ะ ออกผลช่วงปิดเทอมปลาย ตอนนี้ไม่มีแล้ว ร่วงหมดต้นแล้วจ้ะ