หลักอนัตตาในความเห็นของข้าพเจ้า (ของชำร่วยวันวิสาข ตอน ๖)
ผมขอเสนอการทดลองทางความคิด คือ ถ้าท่านนั่งส่องกระจก เห็นเงาตัวท่านเองในกระจก ถามว่า ระหว่างเงา กระจก กับตัวท่าน อะไร “จริง” กว่ากัน
แน่นอน ส่วนใหญ่จะบอกกันว่า ตัวเราสิ จริง กว่าเงา เพราะหากไม่มีเรา ก็ไม่มีเงา
แต่ช้าก่อน.....หลายต่อหลายคน ใช้เงาในกระจก ที่มองมาแต่เด็ก หนุ่มสาว แก่ เป็นเครื่องบ่งบอกว่าตัวเราเป็นแบบนี้ มีรูปหน้าแบบนี้ มีตัวตนแบบนี้ ไม่ใช่หรือ
หรือนี่แสดงว่า เงาในกระจก นั้น “จริง” ยิ่งกว่าตัวเราจริงๆ เสียอีก
แล้วกระจกล่ะ..มัน “จริง” ไหม ทำไมเราต้องเสียเงินไปซื้อกระจกมาส่องมองตนเองด้วยเล่า
ถ้าโลกนี้ไม่มีมนุษย์เลย คุณเป็นมนุษย์คนเดียวในโลก คุณจะแต่งหน้า เขียนคิ้วทาปาก ผูกไท ใส่สูตไหม ต้องคิดภาษาเขียน พูดไหม ต้องมีชาติไหม ต้องมีมารยาทสังคมไหม
น่าคิดว่าพันธนาการ (ทุกข์) ของมนุษย์ ทุกวันนี้ส่วนใหญ่ ๙๙.๙๙ ปซ. มาจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ที่แต่ละคนก็เป็นกระจกซึ่งกันและกัน จนเกิดเงาสะท้อนหลากหลาย ทั้งเงาที่บิดเบี้ยวและเงาที่เจาะลึกแบบรังสีเอ็กซ์
นั่นว่าเฉพาะเงาภายนอก นอกจากนี้ยังมีเงาภายใน เพราะเราเองมีแสงจากภายในด้วย อุปมาว่าเราก็คือดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง มีแสงส่องสว่างในตัวเอง แต่เราเองไปสร้างเครื่องกำบังแสงนี้ไว้ ทำให้แสงไม่ส่องสว่างเจิดจ้าเท่าที่ควร แถมยังเกิดเงาภายในใจของเราเอง แต่เป็นเงามืดเสียเป็นส่วนใหญ่
เครื่องกำบังแสงในตัวเรานั้นเป็นสารชนิดหนึ่ง ประกอบด้วย ความเกลียด อยาก โลภ รัก หลง และอคติต่างๆ
ถ้าเราออกแรงรื้อเครื่องกำบังแสงในใจเราเองออกไปได้ แสงภายในจะส่องสว่าง ฉายออกไปสร้างสมดุลกับเงาอันหลากหลายจากภายนอก เราก็จะเห็นสรรพสิ่งอย่างลงตัว เป็นกลาง ....นี่แหละอนัตตาในความเห็นข้าพเจ้า สำหรับวันนี้
...คนถางทาง (๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖)
สวัสดีค่ะ ท่านอาจารย์คนถางทาง
ขอบคุณสำหรับของชำร่วยจากวันวิสาขะ อันที่มีค่า .....อนัตตา .. ในความเห็นของท่านอาจารย์ ที่นำมาย่อยให้อ่านแปรสู่ปัญญาค่ะ
อาจารย์คะ ...แม้กระทั่งเราเอง การที่จะรื้อเครื่องกำบังแสงจากใจเราก็ยากแล้ว แล้วเราจะปฏิบัติอย่างไรที่จะได้ระวัง เพื่อลดการเป็นกระจกที่สะท้อนซึ่งกันและกัน ได้เงาบิดเบี้ยว distort เพื่อจะได้มีโอกาสให้แสงที่ฉายจากภายในใจ ส่องออกไปสมดุลกับเงาภายนอกมองเห็นสรรพสิ่งอย่างเป็นได้บ้าง ..ขอบคุณค่ะ.