กุญแจไขความลับสู่ความสำเร็จในชีวิต จากเดอะท็อปซีเคร็ต


เรียบเรียง  จากหนังสือ เดอะท็อปซีเคร็ต

ผู้แต่ง ทันตแพทย์สม สุจีรา

หนังสือ เดอะท็อปซีเคร็ต เป็นเรื่องราวของการขยายความจากหนังสือ The Secret ของ Rhonda Byrne  ผู้กล่าวว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับโลกและจักรวาลล้วนแล้วเกิดจากการดึงดูดของความคิดเราเอง และได้ยกตัวอย่างผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายของโลกว่าพวกเขาเหล่านั้นได้รู้จักกฎแห่งการดึงดูดซึ่งอธิบายได้ง่ายๆ ว่าสิ่งที่เหมือนกันจะมีแรงดึงดูดเข้าหากัน ดังนั้นเมื่อคุณคิดอะไรสักอย่าง ไม่ว่าดีหรือร้าย คุณกำลังดึงดูดความคิดแบบเดียวกันเข้ามาหาตัวเอง และได้นำกฎนั้นมาใช้จนประสบความสำเร็จ อาทิ  “ ทุกอย่างที่เราเป็นคือ ผลลัพธ์ของสิ่งที่เราคิด" (พระพุทธเจ้า) ,"จินตนาการคือ ทุกสิ่งทุกอย่าง มันคือ หนังตัวอย่างของฉากเด็ดในชีวิตที่กำลังจะเกิดขึ้น" (ไอน์สไตน์) ,"เราสร้างจักรวาลของตัวเราเอง ในทุกขณะจิต" (เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล) เป็นต้นจากหนังสือเล่มนี้เองทำให้ Rhonda Byrne  โด่งดังเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกจนกระทั่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพล 1 ใน 100 บุคคลสำคัญที่มีส่วนเปลี่ยนแปลงโลก

หนังสือเล่มนี้ได้ถูกนำมาแปลเป็นภาษาต่างๆทั่วโลก รวมถึงแปลเป็นภาษาไทยด้วยกระนั้นก็ยังมีผู้อ่านหลายคนไม่เข้าใจและนำไปใช้ปฏิบัติได้จริงค่อนข้างยาก ทันตแพทย์สม สุจีรา จึงเรียบเรียงวิธีการนำไปใช้ในได้ผลเกิดขึ้นได้จริงในหนังสือ เดอะท็อปซีเคร็ต ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก ทันตแพทย์ท่านนี้มองว่าเหตุที่หนังสือ The Secret ของ Rhonda Byrne เข้าใจยากเพราะชาวต่างชาติที่ไม่คุ้นเคยและรู้วิถีปฏิบัติของพุทธศาสนาจึงไม่สามารถถ่ายทอดให้ชัดเจนได้ ทันตแพทย์สม สุจีราได้ขยายความไว้ว่าทางพระพุทธศาสนามีมานานแล้วและอธิบายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยกล่าวว่ากฎแห่งแรงดึงดูดนั้นคือ อายตนในทางพุทธศาสนานั้นเอง ตามปกติต้องเกิด อายตนะภายนอก เข้าสู่ทวารหก มีวิญญาณมารับ เกิดผัสสะถึงจะมีเวทนา (ความรู้สึก) เกิดขึ้นดังนี้ ( อายตนภายนอก>ทวารหก>ผัสสะ>เวทนา ) และหากเราสามารถกำหนดความรู้สึก(เวทนา) ได้ในระดับเดียวกับที่เกิดขึ้นจริงหลังจากได้รับผ่านอายตนะ เราจะสามารถกำหนดเหตุการณ์ในอนาคตได้  เช่น เรามีความรู้สึก สุขเวทนาอย่างมาก ในการไปร่วมงานแต่งงานเพื่อนสนิท ถ้า สุขเวทนาที่เกิดขึ้น อยู่ในระดับเดียวกับเพื่อนที่ได้แต่งงาน (หรือในทางพุทธศาสนาที่เรียกว่า ร่วมอนุโมทนาด้วย)  ความรู้สึกนั้น จะเหนี่ยวนำให้เราได้แต่งงานในอนาคต อย่างแน่นอน ดังนี้ (เวทนา>ผัสสะ>ทวารหก >อายตนภายนอก)หนังสือเล่มนี้ยังได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับการย้อนกลับของเวทนาไว้มากมาย และบอกไว้ว่า ตัณหา (ความอยาก) คือตัวที่จะดึงให้เวทนาไม่สามารถย้อนกลับไปทำให้อายตนภายนอกเกิดขึ้นจริงได้ ดังนี้ ( ตัณหา >เวทนา >ผัสสะ > ทวารหก >อายตนภายนอก) และยังกล่าวเพิ่มในส่วนของพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงภพภูมิต่างๆยกตัวอย่างในภพภูมิเทวดาที่บอกว่าแค่คิดก็บันดาลให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้นได้ เกิดจากการย้อนกลับของความรู้สึก (เวทนา) นี่เอง และถ้ามนุษย์ สามารถเอาความลับนี้มาใช้จะกลายเป็นเหนือมนุษย์ (ในหนังสือ เดอะท็อปซีเคร็ต ได้ยกตัวอย่างไทเกอร์วู๊ดส์ที่เขาบอกเคล็ดลับว่า เขาสร้างภาพแห่งความรู้สึกว่าลูกลงหลุมไปก่อนแล้วทุกครั้ง ก่อนที่จะตีลูกออกไป แล้วลูกจะวิ่งไปตามแรงดึงดูดของความรู้สึก)หรือหากเราพบเจอเหตุการณ์บวกของคนอื่น เช่นการประสบความสำเร็จ  ได้เลื่อนตำแหน่ง  ความร่ำรวย ฯลฯ ก็เช่นเดียวกัน ถ้าคุณตอบสนองด้วยความรู้สึกลบ เช่น อิจฉาริษยา  น้อยใจ  เสียใจ  ฯลฯ  ความรู้สึกเหล่านั้นจะถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึกของคุณ  และเมื่อใดก็ตาม ที่คุณอยากจะประสบความสำเร็จแบบนั้นบ้าง คุณจะไม่สามารถเหนี่ยวนำความรู้สึก เป็นดังเช่นคนที่ประสบความสำเร็จจริงๆได้เลยวิธีแก้ไขก็คือ ให้ร่วมแสดงความยินดีจากใจจริง กับผู้ที่โชคดี ได้ดี หรือประสบความสำเร็จ  สร้างความรู้สึกบวกขึ้นในจิตให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  เพื่อเก็บความรู้สึกนั้นไว้ในชัดเจนมากที่สุด ซึ่งจะมีผล ในกระบวนการย้อนกลับ ดังนี้(  เวทนา>ผัสสะ>ทวารหก>อายตนะภายนอก )ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้นานแล้วคือเรื่อง การอนุโมทนาบุญเมื่อคนอื่นทำดีได้ดีนั้นเอง หรือในอุบัติเหตุต่างๆ เราจะเห็นคนมุงดูอยู่เป็นจำนวนมาก สภาพจิตภายในของคนมุงแต่ละคน จะสร้างเงื่อนไขนั้นขึ้นมา ใครที่ดูด้วยความสะใจจิตเขากำลังบันทึกความรู้สึกนั้นไว้และสักวันหนึ่งเหตุการณ์นั้นจะต้องเกิดขึ้นกับเขาอย่างไม่คาดคิด เพราะจิตใต้สำนึกเข้าใจเป็นว่าเหตุการณ์แบบนี้เราต้องการให้เกิด  เพราะความรู้สึกสะใจที่เก็บไว้ในจิตส่วนลึกจะเหนี่ยวนำให้เขาได้พบกับเหตุการณ์ นั้นจริงๆในทางตรงกันข้ามผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุด้วยใจบริสุทธิ์ปรารถนาจะให้ผู้อื่นพ้นทุกข์  จิตใต้สำนึกจะบันทึกไว้ว่า เหตุการณ์เช่นนี้เป็นทุกข์ และ ไม่ควรเกิดขึ้นต้องพยายามหลีกเลี่ยงความสุขในใจที่ได้จากการช่วยเหลือให้ผู้อื่นพ้นทุกข์จะฝังเข้าไปในจิต และในอนาคตเมื่อเขาทุกข์จะมีคนมาช่วยเขาอย่างไม่คาดคิดเช่นกัน เพราะจิตใต้สำนึกรู้ว่าสิ่งนี้ทำให้มีความสุข และยังกล่าวถึงเพิ่มเติมอีกด้วยว่าครั้งหนึ่งโลกเคยตกตะลึงเมื่อ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ประกาศการค้นพบว่ามนุษย์มีจิตใต้สำนึกและจิตไร้สำนึกซ่อนอยู่ หารู้ไม่ว่าพระพุทธองค์ทรงตรัสถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้วกว่าสองพันปีในชี่อของภวังคจิต”และละเอียดลงลึกไปถึงองค์ประกอบของจิตอย่างเจตสิกเลยทีเดียวถ้าเทียบกับการที่ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ประกาศการค้นพบว่าจิตใต้สำนึกเปรียบเสมือนก้อนน้ำแข็งอยู่ใต้น้ำ พระพุทธองค์ก็ทรงพบลึกไปกว่าว่า น้ำแข็งใต้น้ำนั้นมีต้นกำเนิดอย่างไร ประกอบด้วยโมเลกุลชนิดใด มีธาตุใดเป็นส่วนผสมและยึดเหนี่ยวกันเป็นก้อนด้วยแรงแบบไหน

        เช่นเดียวกับกฎแรงดึงดูดของความคิด  ก็เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งอันน้อยนิดของวงจรแห่งปฏิจจสมุปบาทที่พระองค์ทรงค้นพบนั่นเอง
ถ้าใครได้อ่านหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น จะรู้ว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์  เมื่อได้มาศึกษาพุทธศาสนา ก็เกิดความตื่นเต้น พิศวง จนเก็บอาการไว้ไม่อยู่  เขาเจอสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตเขา และพยายามพร่ำบอกนักวิทยาศาสตร์รุ่นน้องว่า ความจริงแท้ซ่อนอยู่ในพระพุทธศาสนา และประกาศต่อหน้าที่ประชุมวิทยาศาสตร์โลกว่า ศาสนาพุทธคือศาสนาแห่งจักรวาล (ระดับโลกเล็กไป ต้องระดับจักรวาล)  แต่ตอนนี้ ไม่ใช่เฉพาะวงการวิทยาศาสตร์  วงการจิตวิทยาโลก ก็เริ่มตื่นเต้น พิศวง กับพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน ช่วงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของเขา ไอสไตล์เขาได้เริ่มสงสัยแล้วว่า พระพุทธศาสนา อาจจะเป็นศาสนาที่ให้คำตอบต่อคำถามที่เขากำลังพยายามค้นหา ในช่วง 1 ปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิตนั้น มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง " The Human Side " The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism. (Albert Einstein) "ศาสนาใน อนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธานต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา (คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้น เมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนา ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้....ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้อง การทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา"

  จากหนังสือเรื่องเดอะท็อปซีเคร็ต เป็นการกล่วถึงหลักธรรมในทางพุทธศาสนาที่ยังคงใช้ได้อยู่เสมอ ดังที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่าคำสอนในพระพุทธศาสนาเป็นอกาลิโก คือไม่จำกัดด้วยกาล เป็นปัจจุบันเสมอ พระองค์ไม่เคยหวงห้ามว่าคำสอนของพระองค์ใช้ได้เฉพาะผู้นับถือพระองค์เท่านั้นอีกทั้งยังยืนยันว่าสามารถใช้ได้ผลดีจริงกับทุกคนที่ปฏิบัติแม้ไม่ได้นับถือหรือศรัทธาคำสอนในพุทธศาสนาเลยก็ตาม
คำสำคัญ (Tags): #kmanw
หมายเลขบันทึก: 534430เขียนเมื่อ 1 พฤษภาคม 2013 11:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 พฤษภาคม 2013 11:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ให้คิดดีๆ ไว้ก่อน   ขอบคุณค่ะ  

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท