ชีวิตติดจักรยาน




จำได้ว่าสมัยเด็กๆ ไม่มีจักรยานสำหรับเด็ก และก็ไม่มีจักรยานแบบสี่ล้อที่ให้เด็กปั่นได้โดยไม่ล้ม

ก็ต้องเอาจักรยานผู้ใหญ่มาหัดขับ

จักรยานมันสูงกว่าตัวมาก นั่งเบาะขาเหยียบไม่ถึงพื้นหรอก

ถนนก็เป็นถนนลูกรัง ขรุขระ

ความพยายามในการหัดขี่จักรยานจึงต้องมากเป็นพิเศษ

กว่าจะขี่เป็นก็ได้แผลไปหลายแผล

แต่พอขี่เป็นมันก็รู้สึกภาคภูมิใจมาก

ตอนสมัยมัธยมไปเรียนหนังสือในตัวอำเภอห่างจากหมู่บ้านราว ๔ กม.

เด็กๆ สมัยนั้นไม่ว่าบ้านใกล้หรือไกลก็ปั่นจักรยานไปเรียนกัน เรียกว่าไปกันเป็นสาย

ไม่มีรถมอเตอร์ไซด์หรือรถตู้รับส่งนักเรียนเหมือนสมัยนี้

นึกถึงการปั่นจักรยานในวัยเด็กมันช่างเป็นสุขเหลือเกิน

เด็กๆ ปั่นกันไปเป็นกลุ่ม คุยกันไปตามประสา

รถราบนถนนก็ไม่มาก ไม่ต้องกังวลเรื่องรถราจะมาเฉี่ยวชน

พอผ่านวัยมัธยมไปแล้ว

การปั่นจักรยานก็ได้หายไปจากชีวิต

นานมาก




จนกระทั่งมามีครอบครัว

โชคดีที่มีพ่อตาชอบปั่นจักรยานด้วย

ก็เลยซื้อจักรยานมาปั่นคันหนึ่ง

แต่ก็ไม่ได้ปั่นมากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็ปั่นไปตลาด ไปซื้อของอะไรประมาณนี้

แล้ววันหนึ่งโชคดีที่พ่อตาซื้อจักรยานแม่บ้านมาใหม่คันหนึ่งเป็นรถมีเกียร์ด้วย

ท่านปั่นแล้วไม่คล่องและรู้สึกว่าปวดหลัง

ก็เลยจอดทิ้งไว้

เราเลยได้โอกาสเอามาปั่นเสียเอง

ก็เริ่มปั่นไปทำงาน ด้วยเหตุผลคือที่ทำงานไม่ค่อยมีที่จอดรถ และเราไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย

ก็ใช้เวลาช่วงปั่นไป-กลับที่ทำงานนี่แหละออกกำลังไปในตัว

แต่ระยะที่บ้านไปที่ทำงานก็ไม่ไกลใช้เวลาปั่นแค่ไม่ถึง ๑๐ นาทีก็ถึงแล้ว

แต่ก็ถือว่าปั่นเป็นประจำ ยกเว้นวันไหนที่รีบเร่งก็จะใช้มอเตอร์ไซด์แทน ซึ่งก็เป็นส่วนน้อย

เรียกได้ว่าระยะ ๒-๓ ปีหลังนี้แทบจะปั่นจักรยานเป็นหลักเลยทีเดียว

ช่วงก่อนจะใช้วิธีเดินออกกำลังกายที่บริเวณบ้านแล้วรู้สึกว่ามันเบื่อ

เราก็พะวงว่าจะเดินให้ครบ ๓๐ นาทีเป็นอย่างน้อย

แต่ด้วยระยะทางเดินภายในบ้านมันสั้นเลยต้องเดินกลับไปกลับมาหลายรอบ

ความเบื่อก็เริ่มมา

จึงลองเอาจักรยานไปปั่นออกกำลังกายดูบ้าง

พอปั่นไปแล้วรู้สึกเพลินดีนะ

ได้เห็นวิถีชีวิตยามเย็น

บ้างก็เลิกงาน

บ้างก็ไปออกกำลังหลากหลายรูปแบบ ทั้งเดิน ทั้งวิ่ง

แต่ก็เห็นกลุ่มปั่นจักรยานอยู่ไม่น้อย

ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มจักรยานแบบเสือหมอบ เสือภูเขาซะมากกว่า แต่งชุดเต็มสูตรของนักปั่นจักรยาน

เราก็ใช้จักรยานแม่บ้านนี่แหละ

ปั่นรอบๆ เมืองไปตามซอกซอยที่ไม่มีรถรามากนัก ลัดเลาะไปตามริมน้ำ ไปยังชานเมือง

กลับมาถึงบ้านก็ใช้เวลาประมาณ ๓๐-๔๐ นาที ก็ได้ออกแรงพอสมควร

ซึ่งแต่เดิมคิดว่าการปั่นจักรยานไม่ค่อยได้แรง

แต่พอปั่นแบบเต็มสปีดมีและขึ้นเนินลงเนินก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน

พอกำลังเริ่มก็เริ่มหาเส้นทางใหม่ๆ ออกไปถนนเลี่ยงเมืองบ้าง

โอ้ สุดยอดมันปั่นได้เต็มสปีดแม้จะเป็นรถแม่บ้านก็เถอะ ได้แรงมากเลย

ชักติดใจ เลยปั่นทุกวัน

พอเรามาปั่นจักรยานออกกำลังอย่างจริงๆจังๆ ก็เริ่มรู้สึกว่ามันเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ดีนะ

มีคนปั่นกันไม่น้อยเลย

ตอนนี้ก็มีความรู้สึกอยากได้จักรยานไฮบริดมาปั่นซักคัน

ก็ลองไปดูตามเว็ปไซด์และร้านจักรยาน

โอแม่เจ้า จักรยานดีดีคันหนึ่งราคาไม่น้อยเลยนะ

แต่ถ้าถามว่าเอามาปั่นเพื่อสุขภาพแล้วก็น่าจะคุ้มนะ

แล้วมันยังได้เห็นวิถีชีวิตความความเป็นไปของผู้คนและบ้านเมืองอย่างชัดเจน

ไม่เหมือนตอนที่เราใช้มอเตอร์ไซด์หรือรถยนต์

วันก่อนได้ดูรายการพื้นที่ชีวิต ตอนฮอลแลนด์แดนจักรยานแล้วรู้สึกว่า

เฮ้ยบ้านเขาเจริญกว่าเราเยอะนะ แต่เขายังใช้จักรยานกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน

มีทางจักรยาน มีที่จอดจักรยาน มากมาย

ต่างกับบ้านเราที่ขยายถนนเอาขยายถนนเอา แต่ก็ไม่พอให้รถวิ่ง

เลนจักรยานก็คงเป็นแค่ความฝัน

แม้จะไม่มีเลนจักรยาน

ขอให้คนใช้รถบนท้องถนนเห็นใจคนปั่นจักรยานบ้างก็พอแล้ว

ขอบคุณที่มีจักรยาน และเวลาที่ได้ปั่นจักรยาน

เป็นเวลาที่เป็นสุขอีกช่วงเวลาหนึ่งจริงๆ

เรียกว่าชีวิตติดจักรยานไปเสียแล้ว



หมายเลขบันทึก: 530663เขียนเมื่อ 19 มีนาคม 2013 14:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มีนาคม 2013 14:22 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

แม้จะเป็นชีวิตติดจักรยาน...

แต่เต็มไปด้วยความรื่นรมย์    :)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท