เทียนไขเป็นแหล่งกำเนิดแสงสว่างและความร้อนที่มีมาแต่สมัยโบราณ
ประวัติศาสตร์ของเทียนไขเริ่มปรากฏประมาณสามพันปีก่อนคริสตกาล โดยชาวอียิปต์ทำเทียนไขจากขี้ผึ้ง ซึ่งก็คือไขมันที่ผึ้งขับออกมาเพื่อนำไปใช้สร้างและซ่อมแซมรังผึ้ง ขี้ผึ้งเป็นของผสมของสารจำพวกไฮโดรคาร์บอน สารโมโนเอสเทอร์ (monoesters) สารไดเอสเทอร์ (diesters) และอื่นๆ อีกหลายอย่าง
ต่อมาในสมัยอาณาจักรโรมันได้มีการทำเทียนไขโดยใช้ไขสัตว์เป็นเนื้อเทียน
และใช้แก่นของพืช เช่นต้นกก เป็นไส้เทียน จากนั้นมาก็ได้มีใช้นำวัสดุอื่นๆมาทำเป็นเนื้อเทียน
เช่น ไขมันธรรมชาติ และไขมันจากสัตว์ต่างๆ จนกระทั้งเข้าศตวรรษที่ 18 ได้มีการใช้ไขปลาวาฬในการทำเทียนไขอย่างแพร่หลาย
โดยในการผลิตจะต้องนำน้ำมันจากช่องกะโหลกของปลาวาฬ Sperm whale ไปตกผลึกที่อุณหภูมิประมาณ 6 องศาเซลเซียส ซึ่งจะได้ไขมันซึ่งเป็นสารจำพวกเอสเทอร์ที่ได้จากกรดไขมันและแอลกอฮอล์ที่มีจำนวนคาร์บอนอย่างละ 16 อะตอม ข้อดีของการใช้ไขมันปลาวาฬคือไม่มีสีและไม่มีกลิ่นเมื่อเกิดการเผาไหม้ ในช่วงปลายศตวรรษนั้นได้มีการใช้ไขมันจากเรพซีด (rapeseed) คาโนล่า (canola) และรากของพืชตระกูลคะน้า
ซึ่งมีราคาถูกกว่าไขปลาวาฬมาก ต่อมาในช่วงปีค.ศ.1830 ได้เริ่มมีการกลั่นพาราฟิน (parafin)
ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหลือของกระบวนการแยกน้ำมันดิบ หรือก๊าซธรรมชาติ
กระบวนการผลิตเทียนไขจึงหันมาใช้พาราฟินกันเกือบทั้งหมด เนื่องจากพาราฟินเป็นสารที่มีราคาถูกและสามารถใช้ผลิตเทียนไขที่มีคุณภาพสูง
ไร้กลิ่น และเผาไหม้ได้อย่างดี ปัจจุบันได้มีการพัฒนาการผลิตเทียนไขที่มีความใสและสามารถเผาไหม้ได้นานกว่าเดิมโดยการใช้เรซิน (resin) เป็นส่วนประกอบ และยังมีการเติมกลิ่น สี
และน้ำมันหอมระเหยในเทียนไขเพื่อให้เกิดกลิ่นหอมเมื่อมีการเผาไหม้ได้ ส่วนไส้เทียนทำจากเส้นด้ายพันเป็นเกลียว ตัวไส้เทียนนอกจากทำหน้าที่เป็นแหล่งเชื้อเพลิงแล้ว ยังต้องมีสมบัติของการเป็นตัวดูดซับที่ดีด้วย เพราะในขณะที่ไส้เทียนติดไฟนั้น ไส้เทียนจะดูดซับขี้ผึ้งเหลวหรือพาราฟินเหลว ให้ขึ้นไปตามตัวไส้เทียน เพื่อให้เกิดการเผาไหม้อย่างต่อเนื่อง
ขี้ผึ้ง
ไขปลาวาฬ
เรพซีด
คาโนล่า
พืชตระกูลคะน้า
พาราฟิน
ไม่มีความเห็น