“ครั้งหนึ่ง เมื่อถูกระเบิด ได้เฝ้าฟ้าชาย”


เมื่อวันที่  22  กันยายน  2549     พี่จุดอยู่เวรผู้ตรวจการพยาบาลนอกเวลาราชการ   โดยรับผิดชอบ  งานในส่วนของโซนที่ 2    แต่เกิดหลงลืมไปตรวจเยี่ยมหอผู้ป่วยของโซนที่ 1    ทำให้มีโอกาสพบผู้ป่วยที่โดน ระเบิดแถวโอเดียนในอำเภอหาดใหญ่     จึงเดินเข้าไปทักทายพร้อมหยอกผู้ป่วย        เพราะเราได้เจอกันครั้งหนึ่งแล้วในวันที่ฟ้าชายทรงเสด็จแทนสมเด็จพระบรมราชินีนาถ  เพื่อทรงเยี่ยมประชาชนในที่เกิดเหตุ   และผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ที่โรงพยาบาลราษฎร์ยินดี   และโรงพยาบาลสงขลานครินทร์   พร้อมด้วย     พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์พระวรชายา    ในวันนั้นเราได้มีการย้ายผู้ป่วยจากหอผู้ป่วยต่าง ๆ มา รวมกันที่หอผู้ป่วยกระดูกและข้อหญิง 
                นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้    ที่สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงรับสั่งให้พระบรม- โอรสาธิราช  สยามมกุฏราชกุมาร  เสด็จแทนพระองค์   พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์  พระวรชายา  ทรงเยี่ยมประชาชนและผู้ป่วยในวันรุ่งขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์     เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ แก่ประชาชนอย่างทันท่วงที
                 ในวันที่ฟ้าชายเสด็จเยี่ยมผู้ป่วย    ได้มีมหาดเล็กของพระองค์ท่านมาแจ้งและทำความเข้าใจกับผู้ป่วยแต่ละคนในการปฏิบัติตัวเมื่อฟ้าชายเสด็จถึง นอกจากนี้มหาดเล็กยังได้บอกให้ทราบถึง ความห่วงใยของในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ   ที่มีต่อพสกนิกร    ทรงโปรดเกล้าให้ฟ้าชายเสด็จแทนพระองค์   พร้อมด้วยพระวรชายา   เพื่อทรงเยี่ยมผู้ป่วย    พร้อมพระราชทานของเยี่ยมแก่ ผู้ป่วยทุกคน     หากพระองค์ท่านรับสั่งถาม   ให้ผู้ป่วยสามารถพูดตอบพระองค์ท่านได้    ไม่ต้องตกใจ  กลัว และไม่ต้องกลัวว่าจะต้องพูดราชาศัพท์  พูดได้ตามปกติ   พระองค์ท่านใจดี  ไม่ถือตัว  ผู้ป่วยแต่ละคน ในวันนั้นได้แต่พยักหน้า   เพราะยังมีอาการบาดเจ็บ     และรู้สึกง่วงบ้างจากฤทธิ์ยาแก้ปวด    
  ในวันนั้น     พระองค์ท่านได้เสด็จเยี่ยมผู้ป่วยที่  ICU   2  ราย    และที่หอผู้ป่วยกระดูกและข้อหญิง  จำนวน  11  ราย     ส่วนผู้ป่วยอีก  1  ราย   ที่ศัลยกรรมชาย 2   ไม่มีโอกาสได้เข้าเผ้า  เนื่องจากเป็นอีสุกอีใส   แต่อย่างไรก็ตาม มหาดเล็กได้นำถุงพระราชทานของเยี่ยมไปให้ด้วย      พี่จุดขอถ่ายทอดบทสัมภาษณ์ที่ได้สัมภาษณ์ผู้ป่วย  จำนวน  3  ราย  ที่มีโอกาสได้คุยด้วย   มาเล่าสู่ให้ชาวบล๊อกของ  Gotoknow  ได้รับทราบความรู้สึกของท่านทั้งหลายที่ประสบเหตุการณ์นะคะ        โดยบทสัมภาษณ์นี้ได้ผ่านการอนุญาตจากท่านที่ให้สัมภาษณ์ เรียบร้อยแล้วค่ะ

  ท่านแรก  คือ    คุณกีรติ   คงทอง    อายุ  46  ปี    บ้านอยู่แถวสนามบิน   มาทำงานแถวโอเดียน   โดยเป็นแคชเชียร์    ขณะเดินผ่านโอเดียน  ได้ยินเสียงเหมือน ถังแก๊สระเบิด   จึงวิ่งหลบหนีไปทางถนนโรงรถ ของโรมแรมอินทรา     ได้ยินเสียงตูม  ตูม  อีกเป็นครั้งที่ 2   และ  3  ติดต่อกัน   เธอรู้สึกเจ็บที่แขน  เหลือบ มองเห็นแขนห้อย   เธอจึงใช้มืออีกข้างจับไว้    มีผู้หญิงเอาผ้ามาพันให้    มีผู้ชายเรียกวิทยุแจ้งให้ทราบว่ามี ผู้บาดเจ็บที่นี่    ขณะเดียวกันก็พาเธอเดินหนีและไปขึ้นรถที่หน้าคลินิกหมอกระสวยเดิม    จากนั้นรถก็นำ เธอส่งที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์   เธอรู้สึกตัวตลอดเวลา    เมื่อถึงโรงพยาบาล   เธอจึงโทรศัพท์หาสามี  โดยขอให้หมอเป็นคนช่วยพูดและแจ้งอาการให้สามีทราบ     จากนั้นเธอก็ถูกส่งเข้าห้องผ่าตัด                เธอเล่าต่อว่า  ในวันรุ่งขึ้นหลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว  เมื่อฟ้าชายและพระวรชายาเสด็จเยี่ยม   แม้เธอ จะรู้สึกสลึมสะลือ  แต่ความรู้สึกของเธอยังจำได้และรับรู้ตลอด      ฟ้าชายทรงรับสั่งกับเธอว่า ไม่ต้องกังวล รักษาให้หาย    เดี๋ยวจะมีคนมาให้กำลังใจเยอะ    ฉันก็มาให้กำลังใจ    เธอเล่าต่อด้วย   สีหน้าที่ยิ้ม    น้ำเสียงแสดงความปลาบปลื้มว่า   พระวรชายาท่านคุย  ยิ้ม   ไม่ถือตัวเลย   ตาท่านยิ้มสื่อถึงความรู้สึกที่ห่วงใยด้วยความจริงใจ     เธอหยุดเล่าพร้อมหลับตา    เดาว่าเธอกำลังรู้สึกตื้นตันใจ  แล้วเธอ  ก็พูดต่อว่า     รู้สึกตื้นตันใจมากที่ ลูกเจ้าของแผ่นดินมาให้กำลังใจ       เธอพูดประโยคนี้พร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า     พี่จุดเองแม้จะพยายามระงับความรู้สึกทั้งหลาย  ไม่ให้แสดงออก    ก็อดรู้สึกว่าตัวเองมีน้ำตา   คลอออกมาด้วย     โดยเฉพาะเมื่อเธอพูดประโยคว่า    ลูกเจ้าของแผ่นดินมาให้กำลังใจ    ความรู้สึกของ ตัวเองขณะนั้นดีใจและปลาบปลื้มแทนผู้ป่วย   และประชาชนชาวหาดใหญ่   เพราะทุกคนไม่เคยมีโอกาส  เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดมาก่อน    จึงนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้    ที่พระองค์ท่านให้ความ  เมตตาและห่วงใยประชาชนในครั้งนี้

                เธอพูดต่อว่า   หมอและพยาบาลที่นี่ดีมาก   ให้กำลังใจตลอด   ไม่รู้สึกอึดอัดเลย    คนอื่นอยู่อาจ  รู้สึกอยากกลับบ้าน    แต่เราอยู่สบายใจ    ที่นี่ช่วยกันคนละไม้ละมือ   ตอนอยู่ฉุกเฉิน  บางคนช่วยตัดเสื้อ   บางคนช่วยตัดกางเกง   ขอขอบคุณหมอและพยาบาลที่นี่ทุกคน      ฟังเธอพูดถึงความรู้สึกที่มีต่อหมอและ พยาบาลแล้ว     ตัวเองก็รู้สึกยิ้มในใจ   นึกตอบเธอว่า    พวกเราที่นี่ทุกคนไม่ว่าใคร   ตำแหน่งไหน   ต่างยึด พระราโชวาทของพระราชบิดาไว้ในใจของพวกเราทุกคนเสมอ

    ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง   

                 ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์  เป็นกิจที่หนึ่ง                                    

    ลาภ  ทรัพย์  และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง                             

                ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์

                 ดังนั้น   การทำดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ   ได้รับความดีตอบแทนทันที    ไม่ต้องรอชาติหน้าก็ได้แล้วค่ะ

 ผู้ป่วยคนที่  2    ป้าเชย   วัชกาล   อายุ  70  ปี    เป็นชาวอุทัยธานี    ลูกชายรับมาอยู่ด้วยกันที่หาดใหญ่ได้  5  ปี   ป้าอยู่ที่ร้านเชอรี่    เป็นร้านนวดแผนไทย    ป้าเล่าว่า    ป้าไม่รู้หรอกว่ามีระเบิด   รู้แต่ว่าขณะเกิดเหตุป้านำ ถุงขยะมาทิ้ง   ได้ยินเสียงระเบิด    จึงวิ่งหนีเข้าไปในซอย   ป้าได้รับบาดเจ็บแต่ไม่รู้สึกเจ็บ   ด้วยความตกใจ  วิ่งไปจนสุดซอย      จึงนั่งลงด้วยความเหนื่อย   แต่พอเห็นเลือดที่ขาของป้า    ป้าก็เป็นลม    ไม่รู้ว่าใครนำไปโรงพยาบาล      รู้สึกตัวอีกทีต้องเข้าห้องผ่าตัด                 เมื่อถามถึงความรู้สึกที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฟ้าชาย    ผู้ป่วยข้างเตียงก็แซวว่า    ไม่ต้องถามก็ได้  เห็นมั๊ยป้าใส่เสื้ออะไร      พี่จุดจึงหันไปที่ป้า    ก็เห็นป้าใส่เสื้อตัวในเป็นเสื้อยืดสีน้ำเงิน   ตัวนอกเป็นเสื้อผู้ป่วย    ผู้ป่วยข้างเตียงพูดต่อพร้อมหัวเราะว่า    นั่นแหละ   เสื้อที่ได้รับพระราชทาน      ได้แล้วก็ใส่เลย  ไม่ยอมถอด     ป้าหันมาทางคนพูด  พร้อมยิ้มอาย ๆ  แล้วก้มหน้า    พี่จุดเห็นก็อดยิ้มด้วย   นาน ๆ จะเห็น ผู้สูงอายุยิ้มอาย ๆ   รู้สึกน่าเอ็นดูเหมือนเด็กเลย                พี่จุดบอกป้าเชยว่า ป้าเชยคะ   ป้าช่วยเล่าให้หนูฟังหน่อยซิคะ  ว่าฟ้าชายตรัสอะไรกับป้าบ้าง  แล้วป้ารู้สึกอย่างไรที่ฟ้าชายและพระวรชายาเสด็จทรงเยี่ยมป้า     ป้ารีบขยับนั่งตัวตรง   เท้าทั้งสองข้างยัง  เหยียดไปข้างหน้าเหมือนเดิม     ป้าเล่าด้วยน้ำเสียงใสไพเราะ  ว่า    ท่านพูดว่า   เป็นอะไรมั๊ย  ป้าตอบว่า ที่ตะโพกค่ะ    ท่านถามต่อว่า  ปวดมั๊ย   ป้าตอบว่า ปวดค่ะ    หายไว ๆ นะ  เป็นห่วง        พร้อมจับมือเรา    เราก็จับมือท่านแล้วหอม  1  ที       ปลื้มใจ   ตื้นตันหมด   เกิดมาไม่เคยเข้าเฝ้าเจ้า   ตอนรับถุง  (ถุงพระราชทานของเยี่ยม)   ขากระดุกกระดิกไม่ได้    ท่านย่อตัวลงส่งให้   โธ่น่าสงสาร   ท่านหัวเราะทั้งคู่    เกิดมาเพิ่มได้เข้าใกล้   ผิวท่านเนียน  มือก็เนียน

 ผู้ป่วยคนที่  3    คุณวนิดา   กิตติรัตนสมบัติ                คุณวนิดา  กิตติรัตนสมบัติ    อายุ  42  ปี    บ้านอยู่ทุ่งเสา    มาแถวโอเดียนเพื่อซื้อของ  ผ่านหน้า  โอเดียนได้ยินเสียง ตูม ดังสนั่นหวั่นไหว    จึงวิ่งหนีไปทางโรงรถหน้าโรมแรมอินทรา    พร้อมจะโทรศัพท์บอก น้องสาว   ก็ได้ยินเสียงตูมอีกครั้ง    ตัวเองล้มลง   เห็นฝรั่งข้าง ๆ  ตาหลุด   ตนจึงตกใจ   รีบวิ่งหนีต่อ   ได้ยินเสียง  คนพูดว่า   เลือดไหลเต็มแขน   ไปโรงพยาบาลเถอะ    รู้สึกหูอื้อ    จึงอุดหูไว้    เรียกตุ๊ก ๆ   แต่ตุ๊ก ๆ ไม่รับ  คันที่สองก็ไม่รับ    คันที่ 3  รับ   พร้อมนำส่งที่โรงพยาบาลเซียงตึ้ง    โรงพยาบาลล้างแผลให้   พร้อมส่งต่อให้   โรงพยาบาลราษฎร์ยินดี      นอนรอหมอประมาณครึ่งชั่วโมง   จึงได้รับเอ๊กซเรย์   แต่ห้องผ่าตัดเต็มจึงส่งต่อ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์           ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์  ได้เอกซเรย์ใหม่    พร้อมส่งเข้าห้องผ่าตัดทันที                    คุณวนิดา    เล่าถึงความประทับใจในพระมหากรุณาธิคุณของฟ้าชาย  และพระวรชายาว่า   หายเร็ว ๆ  นะ    เป็นกำลังใจ     คุณวนิดา พูดต่อด้วยน้ำเสียงหัวเราะว่า   ถ้าไม่ได้โดนระเบิดครั้งนี้    ก็คงไม่  ได้เฝ้าเจ้า   บนความโชคร้าย   ยังมีความโชคดีแฝงอยู่     ประเทศอื่นจะมีโอกาสเหมือนประเทศไทยมั๊ยนะ     เกิดเหตุเมื่อคืน    รุ่งเช้าท่านก็มา   หาที่ไหนได้    ทำไมประชาชนจะไม่รักท่าน   ในเมื่อท่านรัก  เป็นห่วง     ประชาชนของท่าน    คนต่างชาติคงอิจฉาเรานะ     ปลาบปลื้มมากเลยและโชคดีเกิดมาเป็นคนไทย   แม้เป็นประเทศเล็ก ๆ    แต่ก็อบอุ่น   แต่อย่างไรก็ตาม  ขออย่างให้เกิดอีกเลย    อยากเจอท่านอีก   แต่ไม่อยากเจอในสภาพที่ตัวเองเป็นอย่างนี้             

    ข้าพระพุทธเจ้า นางจุฑารัตน์ เกียรติศิริโรจน์ ขอพระบรมราชานุญาตถ่ายทอดความรู้สึกของ คุณกรีติฯ   ป้าเชย  และคุณวนิดา ตามคำพูดของคุณทั้งสามท่าน  เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกที่แท้จริงของประชาชนที่มีต่อพระองค์ท่านและพระวรชายา     ควรมิควรแล้ว   แต่จะทรงโปรดเกล้า    โปรดกระหม่อม

คำสำคัญ (Tags): #storytelling
หมายเลขบันทึก: 52242เขียนเมื่อ 28 กันยายน 2006 00:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 03:57 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่าน


ความเห็น

ซาบซึ้งมากครับ...เรื่องเล่าเห็นภาพและเห็นความเอื้ออาทร

ขอบคุณครับ 

ตื่นเต้น ดีใจ เลยเคาะโพสเร็วไปหน่อย

.............................................(ต่อ..)

เป็นพระมหากรุณาธิคุณ เป็นล้นพ้น ขอจงทรงพระเจริญ

ชื่นชมพี่จุดด้วยใจจริงเลยค่ะว่า ทุกครั้งที่นำเรื่องโดนใจมาเล่า อ่านแล้วใจเต็มตื้นทุกที ขอบคุณจริงๆค่ะ
ขอบคุณพี่จุดค่ะ มีความรู้สึกตื้นตันและดีใจค่ะ ที่ได้เห็น ได้รับ รวมถึงได้พบความมีน้ำใจ และกำลังใจที่ให้มาค่ะ

ผมรักท่านมากเท่ากับชีวิตของผมครับไม่ว่าใครจะคิดอย่างไรแต่สำหรับผมท่านคือผู้ที่สร้างสิ่งที่คนไทยเราไม่รู้ว่ามีค่าให้กับชาวไทยทุกคนครับ

ผมก็เช่นกัน พระองค์ท่านทรงสง่างามมาก มีพระจริยวัตรที่งดงาม ผมประทับใจในพระองค์ท่านมากครับ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

ขอขอบคุณพี่จุดที่เอาเรื่องดีๆมาเล่าให้พวกเราฟัง ในขณะที่คนอีกมากมาย กลับไม่เข้าใจชอบพูดแต่เรื่องที่ ฟังเขาเล่ามาอีกที ที่คนหวังร้ายกับประเทศไทย ปล่อยมานานแล้ว โดยไม่รู้จักสืบสาวราวเรื่อง ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร คนเช่นนี้มีอยู่มากจริงๆ ดิฉันเคยได้คุยกับช่างทาสีคนหนึ่ง ชื่อติ่ง เป็นคนสุพรรณบุรี เขามารับงานข้างบ้าน เล่าว่า เมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน เขาได้รับงานทาสี พระที่นั่งวิมาณเมฆ ตอนเย็น หลังจากเลิกงานเขาและเพื่อนมาล้างตัวที่สนามหญ้า ใช้น้ำสายยางรดต้นไม้ล้าง ก็คุยหยอกล้อกับเพื่อน สักพัก เขาเห็นทหารยามยืนตรงกับพริ่บพรับ (เขาเล่าอย่างนั้น) เขาเห็นฟ้าชายท่านวิ่งออกกำลังกายมาทางที่เขาล้างน้ำอยู่ กลัวมาก รีบก้มลงกราบ

    ท่านก็หยุดตรงที่เขาแล้วบอกว่า "ไม่เป็นไรนะ" เขาเงยหน้าเห็นท่านยิ้มให้ แล้วท่านก็วิ่งต่อไป ในเวลานั้น เขารู้สึกดีใจ และปลื้มใจที่สุด ที่ท่านหยุดพูดด้วย และในชีวิตเขาประทับใจ เมื่อได้กลับบ้านที่สุพรรณเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็ดีใจกับเขา ว่าท่านมีเมตตามาก

เมื่อ 2 ปีก่อน มีแต่ข่าวลือไม่เป็นมงคล คนปล่อยข่าวว่าท่านไม่สบาย ตอนนั้นดิฉันได้ยินคนพูดเยอะ น่ารำคาญ

ดิฉันเห็นข่าว นสพ. ลง ว่า มีเครื่องบินของกองทัพอากาศตก (ช่วงนั้นมีบ่อย) หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันมีข่าวเล็กๆว่าฟ้าชายจะพระราชทานเพลิงศพนายทหารที่เครื่องบินตก ที่วัดสัตหีบ

เวลานั้นดิฉันและครอบครัว ลงไปที่สัตหีบพอดี พักอยู่ที่ โรงแรมในกองเรือยุทธการ รั้วติดกับเขตพระราฃฐาน

ตอนที่เรานั้งรถผ่านวัดสัตหีบ หน้าวัด เขียนป้ายว่ามีพระราฃทานเพลิงศพ นายทหาร(ขออภัย จำชื่อไม่ได้ค่ะ) ก็ตรงกับที่ นสพ.ลงข่าวก่อนหน้านั้น

เราพักอยู่ที่สัตหีบ 8 วัน เล่นกีฬา และเที่ยวอยู่ที่นั้น ตอนเย็นๆเราได้รับเสด็จท่านด้วย คือเราจะข้ามถนนแล้วท่านขับรถผ่าน

มีพระวรชายา และอุ้มพระองค์ทีด้วย

ดิฉันถามทหารเรือที่เฝ้ายาม เขาบอกว่า ท่านมาฝึกบิน ซึ่งพวกเราไปสัตหีบบ่อยมาก อาทิตย์ เว้น อาทิตย์ อยู่ครั้งละ 8 วัน

ก็มักจะเป็นจังหวะ ที่ท่านเสด็จ เกือบทุกครั้ง (เพราะพอท่านเสด็จ เขาจะไม่ให้ประชาชนผ่าน เขตพระราชฐาน เพื่อรักษาความปลอดภัย)

ทีนี้ ที่ถนนใกล้พระตำหนักท่าน ฝั่งตรงข้าม มีสวนพักผ่อน ชื่อ สวนแฮบปี้ ให้ข้าราชการหทารเรือ และประชาชนเข้าไปใช้ออกกำลังกายได้ ดิฉันเห็น มีทางวิ่งสีแดง เป็นทางวิ่งยางถนอมเท้า ถนอมหัวเข่า ทำให้เวลาวิ่ง เท้าและหัวเข่าจะไม่ได้รับแรงกระแทกมากนัก ก็มีคนวิ่งบ้าง เดินบ้าง เยอะ ถามเพื่อนที่เป็นทหารเรือ บอกว่า ทางวิ่งนี้สมเด็จพระบรมฯท่านใช้วิ่ง และอนุญาตให้ประชาชนได้ใช้ด้วย ก็เป็นความประทับใจที่ท่านมีเมตตา เพราะบางอย่างที่เป็นของนักการเมืองไม่เห็นแบ่งให้ประชาชนได้ใช้บ้างเลย

ที่เล่าเรื่อง สมเด็จพระบรมฯ ท่านเสด็จสัตหีบ ในเวลาที่ทาง กรุงเทพฯ ก็ขยันลือกันไม่ลืมหูลืมตาดูว่า เรือ่งจริงเป็นอย่างไร

ทางสัตหีบ กลับไม่้มีใครพูดเรื่องนี้ ที่ศรีราชา (เพื่อนอยู่ที่นั้น) ก็บอกไม่เห็นมีข่าวนี้

การนินทาว่าร้าย เต็มไปทุกแห่งทั่วโลกก็ว่าได้ ไม่ได้เกิดจากเหตุใด แต่เกิดจากความเชื่อและนอกจากความเชื่อ ก็คือความอิจฉาริษยา

มีพระพุทธภาษิตว่า “ความริษยาเป็นเหตุให้โลกฉิบหาย” จะกล่าวว่าการนินทาว่าร้าย เป็นเหตุให้โลกฉิบหาย ก็น่าจะไม่ผิด

กระแสเสียงนินทาจะหนักหนารุนแรง กว่ากระแสแห่งการยกย่องสรรเสริญ ดังที่เป็นอยู่เช่นนี้

คนดีจะต้องเดินตรอก ขี้ครอกจะได้เดินถนน กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม

ผู้ใหญ่ในสมัยโบราณ ท่านอธิบายให้ลูกหลานเข้าใจความหมายของคำที่ว่านี้คือ คนดีจะถูกเหยียบย่ำ จนไม่อาจเผยอหน้าให้ใครเห็นได้ คนชั่วร้ายจะได้รับการยกย่อง จนแทบจะล่องลอยฟ้า

ผู้ใหญ่สมัยก่อนที่ท่านเป็นผู้ดี เป็นคนดี ท่านสอนลูกสอนหลาน ให้มีเหตุผลในการพูดในการฟัง นั่นก็คืออย่าไม่มีเหตุผล ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ในการพูด ในการฟัง ใครพูดอะไร ใครบอกอะไร ได้ยินก็เชื่อ ก็ฟังก็พูดต่อ

จงรอบคอบให้อย่างยิ่งในการฟัง ไม่ว่าผู้พูดผู้เล่าจะเป็นใครก็ตาม นึกไว้อย่างหนึ่งว่า

การนินทาว่าร้าย ถ้าจริงก็เสียหายแก่ผู้พูดผู้ฟังพอสมควร แต่ถ้าไม่จริง ไม่เพียงแต่ผู้พูดเสียหายเป็นอย่างยิ่ง ผู้ฟังที่เชื่อก็จะเสียหายมาก

หนูซึ้งน้ำพระทัยของพระองค์จริงๆ อย่างหาที่สุดมิได้ หนูรักพระราชวงค์จักรีทุกพระองค์ ทรงพระเจริญเพคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท