กิจกรรมชวนกันเขียนอุปมาโวหารในช่วงบ่าย ครูกานท์เริ่มด้วยการยกตัวอย่างคำอุปมาโวหารแบบต่าง ๆ จากนั้นให้เด็ก ๆ ทดลองยกตัวอย่างอุปมา จากนั้นจึงให้เวลาให้เด็ก ๆ สร้างสรรค์ผลงานอุปมาด้วยตนเอง แล้วอออกมาอ่านผลงานการเขียนนั้น ๆ งานนี้ใครออกมาอ่านได้รางวัลเป็นลายเซ็นของครูกานท์ ปรากฏว่าเด็ก ๆ เข้าแถวกันออกมาอ่านผลงานกันยาวเหยียดชนิดไม่ต้องให้ครูคอยกระตุ้นให้ออกมานำเสนอเหมือนตอนที่อยู่โรงเรียนเลย ผลงานที่ออกมาเขียนคำอุปมากันหลากหลาย คนละไม่ต่ำกว่า ๑๐ บททีเดียว ถึงขนาดครูกานท์ต้องขอให้คัดลอกอุปมาที่เด็ดที่สุดของตนเองคนละ ๑ บท มอบให้ครูกานท์เก็บไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย
ตัวอย่างคำอุปมาบางส่วนที่เด็กๆ คิดขึ้น
เอ๋ย ความทุกข์เหมือนความมืด ยิ่งเดินในที่มืดก็ยิ่งกล้า ความรักที่ครูมีให้ เหมือนสายธารที่ไหลรินไม่มีวันหมด
อุ่น ความพอเพียงก็เหมือนกับแม่น้ำ ถ้าประหยัดเกินไปก็ไม่มีน้ำใช้ แต่ถ้าฟุ่มเฟือยน้ำก็ท่วม
เดล ความซื่อสัตย์คือสายรุ้ง ที่พามุ่งสู่ทางดี ความหลงใหลในทางที่ผิด เปรียบดั่งยาเสพติดและสุรา
ปั้น แม่เหมือนหลังคา ที่คอยบังฝน
ปัน (ญ.) ๓ /๒ รักของแม่เสมือนลูกคลื่นในทะเลที่ไม่มีวันหมด
หลังจากฝึกฝนการเขียนคำอุปมาแล้ว ครูกานท์ให้การบ้านก่อนเด็ก ๆ ไปจะไปรับประทานอาหารเย็นกัน ก็คือ หากใครอยากให้ครูกานท์เซ็นต์ลายเซ็นต์ลงในหนังสือ “ไม้ตะปูและหัวใจ” จะต้องเลือกท่องจำบทประพันธ์ในหนังสือให้ได้อย่างน้อย ๑ บท ครูกานท์จะเซ็นต์ให้ งานนี้ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับคุณครูนะคะ ถ้าอยากได้ลายเซ็นต์ครูกานท์ก็ต้องมาท่องจำบทประพันธ์กับครูกานท์เอาเอง คราวนี้คุณครูจึงต้องเร่งอ่านเร่งจำ เพื่อจะได้ลายเซ็นของครูกานท์มาประทับลงบนหนังสือของตัวเองกันยกใหญ่เลย เด็ก ๆ เมื่อเห็นคุณครูท่องก็เริ่มหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน มาท่องกันบ้าง ไม่มีการยอมแพ้ครูกันเลย ครูตั๊กมองแล้วก็อดยิ้มไม่ได้....รู้สึกวันนี้จะยิ้มได้ทั้งวันเชียวนะ
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จครูกานท์พาท่องบทกลอนจากหนังสือ ไม้ตะปูและหัวจใจ ไปพร้อมกัน ไม่นานเลย เด็ก ๆ ก็สามารถจับหลักและท่องตามได้อย่างรวดเร็วและไพเราะจริง ๆ
จากนั้นครูกานท์และครูก้อย ชวนเด็ก ๆ เขียนบันทึกตามคำบอกกัน....โดยครูกานท์จะพาเด็ก ๆ เขียนจากคำบอกของครูกานท์ก่อน เพื่อเป็นการยกตัวอย่างให้เด็ก ๆ ได้รู้จักกลวิธีและรูปแบบการเขียน ครูกานท์ ครูก้อย บอกว่า ครูควรจะให้ตัวอย่างเด็กก่อน เพื่อเด็กจะรู้ว่างานเขียนที่ดีเป็นอย่างไรสรุปได้ว่า พวกเรากินครูกันซะอิ่มแปร้ ก่อนแยกย้ายไปเข้านอน
เช้าวันรุ่งขึ้น ครูก้อยรับอรุณเด็ก ๆ ด้วยเพลงอาศรมร่มรัก แล้วพาเด็ก ๆ กินครูเพื่อซึมซับความงามของคำกันตั้งแต่ ๖ โมงเช้า เมื่อกินครูไปซักระยะ ครูก้อยพาเด็ก ๆ นั่งหลับตาเบา ๆ เปิดประสาทรับรู้ทางหู เพื่อฟังเสียงยามเช้า แล้วเราก็ค่อย ๆ เคลื่อนขบวนพากันเดินอย่างสงบไปตามทางเดินเข้าสู่ไร่อ้อย ท่ามกลางบรรยากาศ อันร่มรื่น ครูก้อยเล่าตำนวนภูเขาวงพาทย์ จากนั้นครูกานท์พาเด็ก ๆ เขียนบทประพันธ์ยามเช้า โดยครูกานท์กำหนดวรรคแรกให้ว่า “ฉันยืนอยู่กลางไร่อ้อย จากนั้นเด็ก ๆ และคุณครูก็หามุมของตัวเองเขียนบทประพันธ์ เพื่อล่าลายเซ็นต์ครูกานท์ บรรยากาศตอนนี้เด็กๆ ก้มหน้าก้มตาเขียนกันใหญ่เขียนกันไม่เลิกจนตะวันโด่งเลย ผลงานก็ออกมาน่ารักน่าอ่านทีเดียว
กิจกรรมต่อไปที่เด็ก ๆ เรียนรู้การเขียนกลอนหัวเดียว จากครูก้อย ครูก้อยเริ่มจากการเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟัง ถึง ๓ เรื่อง คือ ต้นไม้วิเศษ ฟันหนูอยู่ไหน และ ภูเขามหาสนุก จากนั้นให้เด็ก ๆ สังเกตหาฉันทลักษณ์ จากนั้นเล่าอีกหนึ่งเรื่อง คือ ช้างน้อยอยากบิน โดยหยุดที่คำสุดท้ายในแต่ละบทให้เด็ก ๆ เติมคำเอง
เมื่อเด็กๆ เข้าใจลักษณะของกลอนหัวเดียวกันแล้วก็เริ่มต้นสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองกันเลย
ตัวอย่างผลงานของ แชมป์ – กฤชณัฐ กุลวานิช (๓/๒)
ทุ่งสักอาศรม มาเดินสุขใจ
เสียงลมเสียงไม้ กิ่งไม้พืชพันธุ์
ครูก้อยครูกานท์ พาดูนกกา
เพลิดเพลินจริงหนา อยากมาทุกวัน
จากนั้นครูกานท์ครูก้อยพาเด็ก ๆ กอดต้นสัก ฟังเสียงหัวใจต้นสัก รักต้นสัก แล้วเขียนบันทึก เป็นกิจกรรมสุดท้าย
ก่อนอำลาทุ่งสักอาศรม..ครูตั๊กได้ยินคำพูดสั้น ๆ แต่ลึกซึ้งกินใจจากครูกานท์ว่า
“เพลินพัฒนา...........เด็กดีงาม........ครูก็ดีงาม....”
ไม่มีความเห็น