ทฤษฎีสปริงชีวิต "คุณคิดอย่างไร เมื่อชีวิต ยืดได้ หดได้ เหมือนสปริง"


เมื่อชีวิตยืดได้ หดได้ จงขจัด "พลังอหังการ" (-) ด้วย "พลังเมตตา" (+)

                                         Life Spring   Theory     (ทฤษฎีสปริงชีวิต)                                                      

 

               คุณคิดอย่างไรเมื่อชีวิตติดสปริง  เพราะชีวิตยืนติดอยู่บนฐานของสปริง  อยู่ที่คุณเลือกว่าจะย่อหรือยืดไปในด้านใด 

                 ถ้าเมื่อคุณเงยหน้า  แสดงว่าคุณอยู่ในคลื่นของพลังบวก  คุณสามารถยืดได้จนสุดปลายสปริงในด้านบวก  คุณก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง  (สวรรค์)

                ถ้าเมื่อคุณคว่ำหน้า  แสดงว่าคุณอยู่ในคลื่นของพลังลบ  เมื่อคุณย่อลงไปจนสุด และหลุดออกจนสุดขั้วลบเมื่อไหร่  คุณก็จะเจอกับความทุกข์ตลอดไป  (นรก)

                                               “สวรรค์  นรก  จึงยืดได้   หดได้”  เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์

อยู่ที่ว่าคุณจะเลือกเงยหน้าหรือคว่ำหน้าเท่านั้นเอง

                                                                                                           ดร.ธีรกานต์  โพธิ์แก้ว

 

                       แนวคิดชีวิตติดสปริงผู้เขียนได้ใช้เวลาศึกษาวิเคราะห์มาเป็นเวลานานระยะหนึ่งแล้วแต่ยังมิได้เผยแพร่  เพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลาและขาดข้อมูลบางอย่างที่เป็นปัญหาทางปัญญา ตอนนี้ปัญหานั้นได้กระจ่างแล้ว 
จึงคิดว่าเมื่อเหมาะสมกับกาลที่จะเผยแพร่แก่ผู้ที่สนใจศาสตร์พุทธจิตวิทยา  ด้านจิตวิทยาเชิงบวก และการพัฒนาชีวิต ซึ่งแนวคิดนี้เป็นการศึกษาเรียนรู้และวิเคราะห์จากชีวิตมนุษย์  ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ในเชิงบูรณาการ  จากประสบการณ์ชีวิตของผู้วิจัย  และผู้คนที่ผู้วิจัยได้ประสบพบเจอ การวิเคราะห์ครั้งนี้วิเคราะห์ในเชิงปรัชญาชีวิต
และมีความสัมพันธ์กับจิตวิทยาเชิงบวก  รายละเอียดมีมากกว่านี้ แต่ผู้เขียนขอเผยแพร่เพียงเท่านี้ก่อน  ถ้าหากผู้ใดสนใจก็พูดคุยกันได้  และยินดีที่จะเปิดรับข้อคิดเห็น รวมถึงประสบการณ์ดีๆ เพื่อจัดพิมพ์เป็นเอกสารเผยแพร่ต่อไป

                เมื่อมนุษย์ทุกคนเกิดมามีความสมดุลเหมือนกันทุกคน   ชีวิตจะเป็นเส้นตรง คือ เส้นสมดุลแห่งชีวิต  เมื่อเราเกิดนั่นคือจุดเริ่มของชีวิต ขึ้นอยู่ที่ว่าชีวิตเราจะเงยหน้า หรือคว่ำหน้า  จุดเริ่มต้นแห่งชีวิตนี้จะซ่อนอยู่ในเบื้องลึกในใจ  เป็นแก่นแท้ของจิตใจ  แต่จะเปิดเผยเมื่อต้องเจอกับสภาวะต่างๆ ที่เข้ามากระทบ  ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของกฎแห่งกรรม
                 แต่ชีวิตจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม  และการเลือกใช้คลื่นพลังชีวิตที่มีอยู่ในตัว

                 1. สภาพแวดล้อมภายในตัวของมนุษย์แต่ละบุคคลไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม  ความสมบูรณ์ของ

ร่างกาย คลื่นพลังชีวิต  เนื่องจากทุกคนจะมีกระแสไฟฟ้าอยู่ในตัว อยู่ในเซลล์ทุกเซลล์ของร่างกาย  ร่างกายมนุษย์จึงมีความยืดหยุ่นตลอดเวลา  มีคลื่นสมองเป็นคนสั่งการ  มีคลื่นหัวใจเป็นตัวปลดปล่อยประจุ  ที่จะส่งผลออกมาเป็นคลื่อนแห่งพลังชีวิต  มนุษย์ทุกคนเกิดมามีพลังสองด้าน  คือ พลังด้านบวก  และพลังด้านลบ ได้มาเท่ากันหมด  แต่จุดเริ่มต้นแห่งชีวิตจะแตกต่างกัน  ขึ้นอยู่กับการหันหน้าของชีวิต  และเติมเต็มพลังจะทำให้มีผลต่อการดำเนินชีวิต

                2. สภาพแวดล้อมภายนอก คือบริบทที่มนุษย์ได้สัมผัส  ทุกสิ่งทุกอย่างมีผลต่อการดำเนินชีวิต 

ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ  สัตว์  ต้นไม้  และสถานที่มีผลต่อชีวิตแทบทั้งสิ้น  มนุษย์จะถูกเหนี่ยวนำด้วยสิ่งของต่างๆ รอบตัว  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับคลื่นสมองในการคิดวิเคราะห์  พิจารณาหาเหตุผลว่า  ตนเองควรจะถูกเหนี่ยวนำไปในด้านใด และความคิดนั้นยังถูกเหนี่ยวนำด้วยบุคคลใกล้ตัว  การประคองคลื่นชีวิตมีส่วนสำคัญมาก  มีผลส่งถึงการใช้ชีวิตให้รอดพ้นจากปัญหาทางสังคม


              เรามาดูรูปแบบชีวิตในลักษณะพลังคลื่นไฟฟ้ากันดูนะค่ะ


                ในแนวคิดพื้นฐานเมื่อชีวิตเราเกิดมาจะมีลักษณะคลื่นชีวิตที่เป็นเส้นตรง
นั่นแสดงให้เห็นว่า  เมื่อมนุษย์ทุกคนเกิดมามีลัษณะสมบูรณ์ครบ  32 ประการ  คลื่นชีวิตที่สมบูรณ์เป็นเส้นตรง


               เมื่อก่อกำเนิดประจุชีวิตเป็นเส้นตรง  จากนั้นชีวิตจะสัมผัสกับ


  สภาพแวดล้อมภายใน  + กรรมในอดีตชาติ  เป็นพลังแฝงเร้นอยู่ในตัว

  สภาพแวดล้อมภายนอก  กรรมในปัจจุบัน  (การใช้ชีวิตมีผลต่อประจุชีวิต ผ่านสมองที่รับรู้ทุกขณะจิต)

ประจุบวก (+)  =  กรรมดีในอดีตชาติ + สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกในปัจจุบันที่ดี-ส่งผลต่ออนาคต

ประจุลบ (-)  = กรรมไม่ดีในอดีต + สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกในปัจจุบันที่ไม่ดี-ส่งผลต่ออนาคต


        การเสริมพลังบวกให้กับชีวิตก็คือการสร้างสมกรรมดี  การทำความดี 
การพูดแต่สิ่งที่ดี และการคิดแต่สิ่งที่ดี  ก่อให้เกิดบุญ  บารมี  ที่จะสะสมไปในชาติหน้า  เพื่อให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี


      การเสริมพลังลบให้กับชีวิต คือ  การสร้างสมความเครียด  ความชั่วร้าย  ลาภ  โกรธ  หลง  ให้กับชีวิต 
จะทำให้ชีวิตตกต่ำ  เกิดความท้อแท้  อาจจะบังเกิดผลไม่ดีต่อชีวิต  ทำให้เกิดการสะสมความชั่ว  ตกนรกหมกไหม้


         ในสภาวะการดำรงชีวิตปัจจุบันมีปัญหามากมาย  ร้อยแปดนานัปการ  ปัญหาเกิดขึ้นทุกนาที  เราไม่อาจหลีกหนีปัญหาได้  ปัญหาคือประจุลบที่ถาโถมเข้าสู่การดำรงชีวิต  แต่เราสามารถสร้างประจุบวกให้มากขึ้น 
ถ้าประจุลบเหล่านั้นมีจำนวนน้อยกว่าก็จะพ่ายแพ้ไป การเสริมพลังบวกให้กับชีวิตจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง  พลังบวกสร้างได้ด้วยตนเอง  ชีวิตเราจะมีคุณค่า  เมื่อมีพลังบวก  เพราะฉะนั้นถ้าเรามีพลังบวกมาก  ก็จะมีค่ามาก 
แล้วพลังบวกจะสร้างได้อย่างไร พลังบวกจะสร้างได้ด้วยปัญญานั่นเอง 
        ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงการเริ่มต้นของพลังชีวิต  ต่อไปลองมาดูการกำหนดช่วงชีวิตมนุษย์  แนวคิดผู้วิจัยได้คิดขึ้นมาโดยสังเกตุจากการลอกคราบของงู  และการเติบโตของต้นไผ่  ไผ่จะมีปล้องในลำต้น  ทำให้มองภาพชัดเจนว่า การเติบโตของมนุษย์จะมีช่วงชีวิตที่ไม่ต่างจากการเติบโตของต้นไผ่  ที่คนเราจะเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปตามวัย  ตามปล้อง แต่ช่วงการเปลี่ยนแปลงของชีวิตจะเป็นลักษณะของงูลอกคราบ  ในช่วงนั้นชีวิตจะมีความอ่อนแอ  เพราะพลังชีวิตจะลดลงมาก  การเติมพลังบวกในช่วงเปลี่ยนผ่านในช่วงวัย  หรือปล้องชีวิตนั้นจำเป็นอย่างมาก 
เพราะบางคนอาจจะแทบเอาชีวิตไม่รอดกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น  เมื่อประสบปัญหาการดิ่งลงของชีวิตแบบตามธรรมชาติ หรือแบบไม่คาดฝันท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย  หรือสุดที่จะหลีกหนี เพราะต้องเจอกับประจุลบของคนอื่น หรือสิ่งอื่นมาทำให้เปลี่ยนแปลงไปในด้านลบแบบกระทันหัน  สำหรับการเปลี่ยนแปลงช่วงชีวิตของมนุษย์ของผู้เขียนนั้นมีความสอดคล้องกับหลักอาศรมสี่ ของศาสนาฮินดู  ซึ่งเป็นการค้นพบโดยบังเอิญ  และมีความน่าสนใจไม่น้อย  ซึ่งคิดว่าการให้ความสำคัญในการเสริมพลังบวกในช่วงหลักการเปลี่ยนผ่านของชีวิต  จะทำให้ช่วยแก้ปัญหา หรือผ่อนปรนปัญหาชีวิตของมนุษย์ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว


         การสร้างพลังชีวิตสร้างด้วยตนเอง  แต่หากพลังชีวิตเราไม่เพียงพอ  เราสามารถขอเพิ่งบุญบารมีพลังเหล่านั้นเพิ่มเติมได้จากพลังของบุคคลอื่นเพื่อมาทดแทนพลังที่เราสูญเสียไป

            ยกตัวอย่างเช่น  "ผู้ที่มีทุกข์ทางใจ  มีสมบัติมากมายปานใดแต่แก้ปัญหาชีวิตไม่ตก  ต้องไปขอเพิ่งบุญบารมีจากพระสงฆ์หรือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  แม้นว่าท่านผู้นั้นจะอยู่ไกลแค่ไหน  ในป่าลึกเท่าใด  ก็จะตามหา  เพื่อขอเพิ่งบุญ  พลังบารมี  ของท่านเหล่านั้น  ทั้งๆ ที่ท่านนักบุญเหล่านั้น  แทบจะไม่มีอะไรติดตัวเลย  มีเพียงหลักของใจ  เพียงอย่างเดียว"

             เพราะฉะนั้นถึงเวลาแล้วที่ท่านคงจะต้องเรียนรู้วิธีเสริมพลังปัญญา  เพื่อแก้ไขปัญหาชีวิตด้วยตนเอง  และหากท่านมีพลังชีวิตที่ดี  สมบูรณ์แล้ว  ท่านอาจจะสามารถถ่ายทอดพลังที่ดีงามเหล่านี้ให้กับผู้อื่นได้เช่นกัน

              "นั่นคือ พลังชีวิตที่เป็น พลังบวก"

            สุดท้ายแล้วผู้เขียนคิดว่า  คนทุกคนที่เกิดมาคงอยากเลือกที่จะเงยหน้าทั้งนั้น  แต่อาจจะด้วยเหตุปัจจัยอันลึกซึ้งจึงมีผลให้คนบางคนคว่ำหน้ามาตั้งแต่เกิด  เมื่อถึงจุดเปิดเผยต่อวงสังคมมนุษย์ทุกคนก็จะแสดงการเงยหน้าต่อกัน  ทั้งๆ ที่มีพลังแฝงภายใน  ในแต่ละคนที่หลบซ่อนประจุลบไว้ภายใน  บางคนพยายามหลบซ่อนพลังเหล่านั้นแต่ไม่สามารถควบคุมมันได้  เพราะฉะนั้นทำอย่างไรเราจึงจะสามารถเปลียนแปลงพลังลบที่มีให้ลดจำนวนลง  หรือกำจัดให้หมดสิ้นไป  นั่นคือสิ่งที่ทุกคนคงจะปรารถนา


             รายละเอียดรออ่านฉบับเต็ม  "ชีวิตติดสปริง  Life Spring"  ในเล่มจะมีรูปแบบสปริงชีวิตที่ชัดเจน  พร้อมทั้งกรณีศึกษาชีวิตจริง  การบำบัดความเครียดด้วยตนเอง  ด้วยพลังบวก  เมื่อความเครียดไม่ได้เป็นเรื่องแปลกของสังคมไทยต่อไป  ผู้ที่เป็นโรคเครียด  ก็ไม่ต่างกับคนเป็นไข้หวัด  ที่ป็นได้  ก็หายได้  แถมหายแล้วยังมีภูมิคุ้มกันในตัว  พลังบวก จึงเปรียบเสมือนวิตามินซี  รักษาความเครียดนั่นเอง

              หากท่านพบคนข้างๆ ที่รู้สึกเครียด  วิตกกังวล  มีประจุลบสูง  เมื่อท่านมีประจุบวกน้อยกรุณาถอยห่าง  เพราะท่านอาจจะถูกกลืนพลังได้  คำเตือน ! ให้ถอยห่าง  ไม่ใช่ซ้ำเติม  ดูถูก  ดูแคลน  เพราะท่านอาจจะเจอพลังย้อนกลับที่เป็นอันตรายได้  เพราะหากเขาสามารถลบล้างประจุลบนั่นแล้ว เสริมพลังบวกเป็นดับเบิ้ล  ท่านจะล้มหงายไม่เป็นท่า

            แต่หากท่านมีพลังบวกที่มากมาย  ล้นเหลือ  จึงเผื่อแผ่บารมีให้กับคนที่ขาดแคลนพลังเหล่านี้เถิด  เพราะนั่นเท่ากับเป็นการเสริมพลังบวกให้กับท่าน  พลังของท่านจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

              พลังภายในสะสมได้  ด้วยการปฏิบัติดี  ปฏิบัติชอบ  สุดท้ายเป้าหมายที่ท่านค้นพบอยู่ไม่ไกล นั่นคือ

             ความสุขทางใจ  ท่านจะพบกับใจที่เย็น  ใจที่สบาย  จากการใช้ชีวิตแบบยืดหยุ่นบนฐานสปริงที่มั่นคงแข็งแรงและมีพลังบวกเป็นระดับทวีคูณ  จนสามารถพบความสว่างทางใจได้ในที่สุด

             เรากำลังนำเสนอให้คุณนำสปริงไปติดไปไว้ใต้รอยเท้าที่คุณเดินเหยียบย่ำไปบนพื้นถนนหนทางแห่งชีวิต  ไม่ว่าคุณจะเดินเหยียบอะไร หรือใครจะมาเหยียบย่ำคุณ 

                   คุณพร้อมที่จะย่อและยืดได้อย่างมั่นใจ

                                  ตามแนวคิด      Life Spring  ถ้าเมื่อชีวิตคุณได้ติดสปริงไว้เรียบร้อยแล้ว

จุดเน้น : ทฤษฎีนี้มุ่งเน้นให้คุณเสริมแรงสปริงในด้านเดียว คือ ด้านบวกเท่านั้น  เพราะมีเป้าหมายที่จะให้คุณนำไปใช้ในการพัฒนาชีวิต

            นิยามศัพท์ในการพัฒนาชีวิต คือ ปรับปรุงชีวิตให้ดีขึ้น  เสริมสร้างชีวิตให้มั่นคง  ส่งเสริมการใช้ปัญญาแก้ไขปัญหา มากกว่าใช้อารมณ์

                              จงขจัด "พลังอหังการ"  ด้วย "พลังเมตตา"

หมายเลขบันทึก: 520171เขียนเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2013 22:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2013 09:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท