ชื่อเรื่อง ผลของการจัดการเรียนรู้วิชาสุขศึกษา โดยใช้กระบวนการเผชิญสถานการณ์
และการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา และพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ผู้วิจัย นายนิธิพัฒน์ ศรีมรกต ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ
โรงเรียนสกลทวาปี ตำบลโนนหอม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร
ปีที่พิมพ์ 2554
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้กระบวนการเผชิญสถานการณ์และการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้กระบวนการเผชิญสถานการณ์ และการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการคิดแก้ปัญหากับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา 4) เพื่อพัฒนาทักษะการทำงานกลุ่มของนักเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเผชิญสถานการณ์และการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD และ
5) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียนก่อนและหลังเรียนโดยใช้กระบวนการเผชิญสถานการณ์และการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STADกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเป็นนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสกลทวาปี ตำบลโนนหอม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 26 คน ซึ่งเลือกมาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาสุขศึกษา โดยใช้กระบวนการเผชิญสถานการณ์และการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD จำนวน 7 แผน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา สุขศึกษา จำนวน 40 ข้อ คุณภาพของเครื่องมือมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.949 ค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.34 - 0.93 ค่าความยากอยู่ระหว่าง 0.26 -0.74 2) แบบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา จำนวน 2 ตอน ตอนที่ 1 ข้อสอบแบบเลือกตอบจำนวน 28 ข้อ คุณภาพของเครื่องมือมี ค่าความยากง่ายระหว่าง 0.25 – 0.63 และค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.25 – 1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 ตอนที่ 2 ข้อสอบแบบเขียนตอบ จำนวน 3 ข้อ คุณภาพของเครื่องมือมี ค่าความยากง่ายระหว่าง 0.53– 0.72 และค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.24 – 0.36 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.813 3) แบบประเมินพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม 3 ด้าน จำนวน 20 ข้อ ได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.923 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน คือ การหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย การทดสอบค่าที (t – test Dependent Samples) และการทดสอบ The Wilcoxon Matched – Pairs Signed – Rank Test
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเผชิญสถานการณ์และการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
2. คะแนนความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเผชิญสถานการณ์และการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
3. ความสามารถในการคิดแก้ปัญหามีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
วิชาสุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา โดยมีความสัมพันธ์กันทางบวกอย่างสมบูรณ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. การจัดการเรียนรู้วิชาสุขศึกษา โดยใช้กระบวนการเผชิญสถานการณ์และ
สามารถพัฒนาทักษะการทำงานกลุ่มของนักเรียนมีความก้าวหน้าทุกคน และอยู่ในระดับดี ( = 4.06 )
5. พฤติกรรมการทำงานกลุ่ม โดยภาพรวมของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเผชิญสถานการณ์และการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STADหลังเรียนรู้สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
ไม่มีความเห็น