+++ ครั้งหนึ่งของชีวิต กับ อุบัติเหตุทางถนน+++
เมื่อครั้ง
หนึ่งของชีวิต คนเราย่อมมีช่วงเวลาแห่งการอ่อนแอเป็นที่สุด
และอุบัติเหตุก็มักจะเกิดขึ้นได้เสมอโดยที่เราไม่รู้ตัวนะคะ
จากประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ฉันเรียนรู้ว่า...คนเราต้องมีสติ
นะคะ สติจะช่วยเราข้ามผ่านปัญหาและอุปสรรคไปด้นะคะ สติจะช่วยเราแก้ปัญหาได้ดีที่สุดในยามที่เราอ่อนแอ นะคะ
ตอนที่ฉันรถชนท้ายรถบรรทุกไม้ที่จอดอยู่กลางถนนนั้น
ฉันรู้สติว่านี้คือ
ชนแล้วนะ ฉันพยามยามมากที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อโทรไปหา 191
เบอร์ตำรวจโทรติดยากมาในยามสภาวะที่คับขันแบบนั้น ฉันนึกถึงเพื่อนของฉัน
พ.ท.ต.สุทธิพร นราพงษ์
ฉันโทรไปหาพี่พรเพื่อแจ้งให้ทราบว่าตอนนี้ฉันกำลังประสบกับอุบัติเหตุนะ
แล้วพี่พรก็โทรไปตามรถโรงพยาบาลมารับฉัน พร้อมกับร้อยเวรมาดู
ณ.จุดที่เกิดเหตุของฉัน ระหว่าที่รอรถโรงพยาบาลและตำรวจนั้น
ฉันรู้แล้วว่าตัวเองไห้ปลาร้าหักแน่นอนเลย
ฉันนอนอย่างมีสติไม่ขยับร่างกายรอจนกว่ารถโรงพยาบาลมาถึง
ฉันได้ยินเสียงร้องของแม่ว่า "ลูก เจ็บมากไหม"
แม่กำลังวิ่งเข้ามาเพื่อที่จะโอบกอดฉัน ฉันบอกแม่ว่าอย่าถูกตัวนะ
ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่เจ็บและฉันก็ไม่ร้องไห้ออกมาด้วยทั้งที่ตัวเองเจ็บ
วินาทีนั้นบอกกับฉันว่าเราจะต้องไม่อ่อนแอให้แม่เห็นเดียวท่านจะไม่สบายใจนะ
คะ ทันทีนั้น รถโรงพยาบาลก็มาถึง แล้วฉันก็บอกกับเขาว่าไห้ปลาร้าหักนะ
เพื่อแจ้งให้เขาทราบเพื่อเขาจะได้เคลื่อนย้ายคนเจ็บได้อย่าถูกวิธีนะคะ
.....เรื่องนี้ยังไม่จบ...
เมื่อไปถึงโรงพยาบาลแล้วฉันต้องเข้าห้อง ER
หรือว่าห้องฉุกเฉินนั้นเอง ขณะที่พยาบาลกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าของฉัน
มีนางพยาบาลคนหนึ่งพยายามมากที่จะให้ฉันยกแขกขึ้นเพื่อถอดเสื้อของฉัน
ฉันคิดในใจว่ามันจะบ้าไหมนิคนไห้ปลาร้าหักมันจะมาให้ยกแขนขึ้นอีกเพื่อถอด
เสื้อผ้าฉันออกนะคะ
ฉันใส่เสื้อยืดคอกลมกับกางเกงยีนส์ขาสั้น
ฉันบอกกับพยาบาลไปว่าพี่ใช้กรรไกรตัดเสื้อฉันไปเลยนะ
นางพยาบาลคนเดิมยังจะมาพูดอีกเสื้อแพง
ฉันคิดในใจ...(อีบ้าเอ่ย) คนเขาเจ็บอยู่นะมึงจะมาคิดเรื่องเสื้อของกูทำไมนิ
ก็แค่เสื้อตัวเดียวเองแหละ .....เรื่องนี้ยังไม่จบ...
เมื่อคุณหมอ
(นายแพทย์) มาอ่านฟลิม์เอ็กสเรย์ของฉันซึ่งมีหลายแผ่นมาก
เพราะต้องตรวจอย่างละเอียดหมดเลย ฉันรู้ว่าตัวเองมีกระดูกหัก 3 ด้วยกัน
นั้นคือ ที่ไห้ปลาร้า ข้อมือ และกระดูกนิ้วอีก 3 นิ้ว
มีนิ้วก้อยนิ้วนางและนิ้วกลาง....แต่นายแพทย์คนนั้นบอกกับพยาบาลว่าหักแค่
ไห้ปลาร้า กับ ข้อมือ
ให้พยาบาลเอาเผือกสำเร้จรูปมาใส่ได้เลย แล้วนายแพทย์ก็เดินออกไปจากห้อง ER
เมื่อพยาบาลจะมาจับแตะต้องตัวฉัน
ฉันบอกกับพยาบาลว่าช่วยไปถามคุณหมอใหม่ที่เถอะว่าหักกี่จุดกันแน่
เพราะที่แน่ๆๆมันไม่ใช่นะ
และฉันไม่ยอมให้พยาบาลทั้งสองคนมาถูกต้องตัวฉันเลยรอจนกว่านายแพทย์จะไปอ่าน
ฟิลม์เสียใหม่
ระหว่างที่รอนายแพทย์ไปดูฟิลม์ใหม่
ฉันคิดในใจว่า...แม่งมึง....หมออินเทอร์ไหมนิ..%%%%5555!!!+++!!!
ไปตามประสาในตอนนั้นนะคะ สักพักนายแพทย์ก็เดินกลับมาพร้อมกับว่า
"ขอโทษ...ครับ" เพราะนิ้วมันซ้อนกันผมมองไม่เห็นนะครับ ใช่หักตั้ง 3
มองไม่เห็นก็บ้าแล้วแหละ....เนื่องจากเป็นหมอขึ้นเวรทั้วไปนะคะไม่เชียวชาญ
ทางด้านกระดูก
ฉันก็เข้าใจนะคะ และก็ให้กลับบ้านโดยไม่ให้ยาอะไรมาเลยแม้แต่นิดเดียว
บ้าคนกระดูกหักนะ อย่างน้อยๆๆก็ต้องมีแคลเชียม หรือยาแก้กล้ามเนื้ออักเสบมาให้บ้างละนะ...(มันลืมสั่งยา)...อิอิๆๆกว่าจะจบเรื่องได้เห็นไหมว่าสติ
ของตัวเองสำคัญที่สุดนะ
คะ เพราะอย่างน้อยที่สุดเรารู้ว่าเรากระดูกหัก
ร่างกายต้องการแคลเซียมแน่นอน
แล้วให้กลับบ้านแบบนี้โดยที่ไม่ให้ยาอะไรมาเลย
มันผิดปกตินะคะ...เราต้องถามเราต้องท้วงติงเพื่อตัวเราเองนะคะ
ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังเพื่อจะมาบอกกับทุกคนว่า....ท้ายสุดแล้ว
การที่รถชนกันนะคะ เรามีคู่กรณี นะคะ
ดังนั้นเพื่อความถูกต้องโปร่งใส่และยุติธรรม
เราต้องให้ตำรวจรีบมาดูที่เกิดเหตุทันทีนะคะ
เพราะเวลาที่เราไปเจรจากับคู่กรณีจะได้ไม่มีปัญหานะคะ
และแล้วมันก็เกิดขึ้นมาจนได้ได้นะคะ คู่กรณีหัวหมอ นะคะ ตอนไปเจรจากันที่
โรงพัก....มันพูดในทำนองที่ว่ามันไม่ผิดรถมันจอดเสียอยู่มีการให้สัญญาณที่
จัดเจนแจ้งเหตุให้ทราบแล้ว
โชคดีนะที่ตำรวจตอบกลับไปว่าตรงไหนผมไปดูที่เกิดเหตุมาแล้วนะไม่มีเลย
คุณมาให้สัญญาณตรงไหน ........ในที่สุดคนถูกก็ย่อมเป็นผู้ถูกนะคะ
สรุปว่าคู่กรณีต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับฉันนะคะ
แต่ด้วยความที่สงสารเห็นว่าเขานะมีฐานะลำบากนะคะ
จึงไม่เรียกร้องค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียวนะคะ
และแล้วมันก็จบลงด้วยดีนะคะ....หลังจากนั้นอาการของฉันก็ดีขึ้นเรื่อยๆๆๆ
ฉันก็ทำกายภาพบำบัดตัวเองนะคะ รักษาตัวเองด้วยตัวของตัวเอง
มันอยู่ที่สตินะคะ
ขอบคุณสติ นะคะ ขอบคุณค่ะพี่มณีเทวา ขอให้หายเจ็บเร็วๆๆนะคะ
ขอบคุณ...สติ นะคะ
เป็นตัวอย่างการใช้สติยามคับขันที่ยอดเยี่ยมมากค่ะ
อ่านดูการปฏิบัติงานของพยาบาลและหมอแล้วรู้สึกว่าการส่งเสริม การแพทย์ด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ยังไปไม่ทั่วถึง หากเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ไม่มีทั้งความรู้และสติจะทำอย่างไร อาการคงแย่แน่ๆ
หวังว่าคงหายดีแล้วนะคะ
ขอบคุณแนวคิดดีๆและประสบการณ์ดีที่คุณมณ๊เทวานำมาแบ่งปันอีกครั้งครับ