คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)


คนสยามสร้างนครวัด นครธม (โปรดฟังอีกครั้ง)

สักสองปีก่อนผมได้เปิดประเด็นว่าคนสยามเป็นผู้สร้างนครวัด มีทั้งเสียงปรบมือและเสียงโห่พอกัน ...วันนี้ผมขอสรุปตอกย้ำแสดงหลักฐาน เหตุผล หลักๆ ห้วนสั้น อีกครั้ง ตัดเรื่องหยุมหยิมออกไป ดังนี้

นักวิชาการไทยส่วนใหญ่ได้แต่เชื่อตามฝรั่งไปแบบเชื่องๆ ว่าเขมรเป็นผู้สร้างนครวัด แต่ความจริงแล้ว ขอม ต่างหากเป็นคนสร้าง และขอมก็คือ สยามนี่แหละ ส่วนเขมรนั้นสมัยโน้นเป็นทาสขอม

หลักฐานสำคัญที่สุดคือบันทึก ๔๐ หน้าของโจวตากวน (ทูตการค้าชาวจีน) ที่ทำให้คำนวณได้ว่าสมัยก่อนเมืองพระนครมีคนชั้นปกครอง ๓ แสน และทาสและคนพื้นเมือง ๗ แสน โดยคนพื้นเมืองนั้นใช้เข็มก็ไม่เป็น ทอผ้าก็ไม่เป็น ส่วนคนสยามนั้นใช้เข็มเป็น ทอผ้าก็เป็น เลี้ยงหม่อนไหมก็เป็น

โดยชนชั้นปกครองนั้นคือขอม ซึ่งก็คือคนสยามนั่นเอง

ส่วนคนพื้นเมืองนั้นขนาดชุนผ้ายังไม่เป็นแล้วจะไปสร้างนครวัด นครธม ใหญ่โตได้อย่างไร เอาความรู้ เทคโนโลยีไปจากไหน 

อยู่มาวันหนึ่งพวกทาสสบโอกาส ก็ทำการยึดอำนาจ ล้มล้างราชบัลลังก์ นำโดย ตระซอก ประแอม (แตงหวาน) ที่ต่อมาสถาปนาตนเป็นกษัตริย์

ที่สำคัญที่สุดคือ คำต่อท้ายกษัตริย์ “วรมัน” ทุกพระองค์ที่ผ่านมา ๖๐๐ ปีก็หายไปในปีนั้นนั่นเอง จากนั้นไม่มี “วรมัน” อีกเลย แสดงชัดว่าเขมรเป็นคนละเผ่าพันธุ์กับขอม

พงศาวดารฉบับแรกของเขมรที่ประพันธุ์โดยนักองเอง (ที่มาพึ่งบารมีร. ๑ ของไทย) ก็ระบุตรงกันว่า ตระซ็อกประแอม คือต้นกำเนิดของคนเขมร แต่ภายหลังฝรั่งเศสมายุให้ปรับเปลี่ยนว่าต้นตระกูลคือ วรมัน ทั้งที่เขมร ฆ่าวรมันตายเรียบ แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองว่า “สยามราบ” (หรือ เสียมเรียบ ในวันนี้)

เสียม ไม่ได้ เรียบ หมดหรอก จากสามแสน อาจถูกฆ่าตายสัก ๕ หมื่น ที่เหลือรอดตายก็หนีมาก่อตั้งกรุงศรีอยุธยา นำทัพโดยพระเจ้าอู่ทองนั่นแล

ยังถกเถียงกันอยู่มากว่าพระเจ้าอู่ทองคือใคร มาจากไหน ที่สอนกันมานานว่ามาจากเมืองอู่ทอง สุพรรณบุรีนั้น บัดนี้สรุปกันได้แล้วว่าผิด เพราะเมืองอู่ทองเป็นเมืองร้างมาก่อนหน้านี้แล้วสองร้อยปี อีกทั้งเป็นเมืองเล็กมีคนประมาณ ๕ หมื่นเท่านั้น แต่อยุธยาเริ่มต้นก็มีพลเมืองสามแสนแล้ว ถามว่าเอาคนสามแสนมาจากไหนในละแวกนั้น

พระเจ้าอู่ทองทรงสร้างเมืองอยู่ ๑๔ ปี พอสร้างเสร็จแทนที่จะเฉลิมฉลอง พักผ่อนไพร่พล กลับยกทัพไปตีเมืองพระนครทันที (เมืองเสียมเรียบ) ซึ่งผิดวิสัยมาก เพราะเป็นเมืองเล็กๆ สร้างใหม่ ไฉนเลยจะกล้าไปตีเมืองใหญ่เก่าแก่ที่มีกองทัพเกรียงไกรเช่นพระนคร ซึ่งประเพณีการสงครามเดิมมานั้นมีแต่เมืองเก่าใหญ่จะยกทัพมาถล่มเมืองสร้างใหม่ เพื่อไม่ให้เป็นศูนย์อำนาจมาแข่งบารมี

ที่พระเจ้าอู่ทองยกทัพไปตีเขมรนั้นเป็นเพราะทรงแค้นใจหนักที่อัดอั้นมานาน ๑๔ ปีไงเล่า ทรงต้องรีบเพราะทรงชราภาพมากแล้ว เกรงว่าจะล้างแค้นเขมรไม่ทันที่พวกมันฆ่าวรมันตายเรียบนั่นไง

 พอรบชนะเขมรเบ็ดเสร็จ ก็ทรงสร้างเมือง “อู่ทองมีชัย” (อุดงเมียนเชย ในวันนี้) เข้าใจว่าทรงตั้งชื่อนี้เพื่อข่มนาม “เสียมเรียบ” นั่นเอง เมืองนี้จำลองแบบไปจากอยุธยา และกลายเป็นเมืองหลวงเขมรนานถึง ๒๐๐ กว่าปี จนขณะนี้กลายเมืองมรดกโลกไปแล้ว

พระเจ้าอู่ทองเป็นขอม ดังนั้นเมื่อมาอยุธยาก็ทรงพูดภาษาขอม จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมคำราชาศัพท์ของเราวันนี้จึงเต็มไปด้วยภาษาขอมและสันสกฤต เป็นเพราะสืบทอดมาจากภาษาพระเจ้าอู่ทองนี่เอง ส่วนเขมรเป็นทาสขอมมานานก็ย่อมรับเอาภาษาขอมไปพูดด้วยเป็นธรรมดา อย่าลืมด้วยว่าภาษาขอมเองก็ยืมเอาคำ “ไต” ไปใช้มากพอกัน

เทคโนโลยีการตัดหิน ลากหิน สลักหิน นั้นชาวขอมพิมาย ลพบุรี ได้ฝึกปรือมานานก่อนสร้างนครวัด นครธม เช่น ปราสาทหินพิมาย ก็สร้างก่อนนครวัด โดยตัดหินมาจากอ.สีคิ้ว แล้วลากไปอีก ๑๐๐ กม. เพื่อไปสร้างที่พิมาย คนเขมรเย็บผ้ายังไม่เป็นแล้วจะตัดลากยกหินก้อนมหึมาเหล่านี้เป็นหรือ

หลักฐานจากการสลักบนแผ่นหินระบุว่ากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เช่น สุริยวรมันที่ ๒ เป็นคนลพบุรี ชัยวรมันที่ ๕ เป็นคนพิมาย ส่วนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ชัยวรมันที่ ๗ ไม่ทราบว่ามาจากไหน ผมตอบให้เลยว่ามาจากพิมาย ด้วยหลักฐานผูกมัดมากหลายเกินจะกล่าวในที่นี้ ที่สำคัญคือทรงเป็นพุทธ สร้างนครธม และเปลี่ยนชาวพระนครให้มาเป็นพุทธจนถึงวันนี้

อันคำว่า “นครธม” นั้น นักวิชาการฝรั่งแปลกันแบบเซ่อๆว่า “เมืองใหญ่” เพราะเขาวิจัยกันทึ่มๆ ว่า ทม นั้นเป็นภาษาเขมร แปลว่า ใหญ่ ซึ่งนักวิชาการไทยก็เชื่อตามกันแบบงมงาย แต่ผมขอแย้งหัวชนฝาว่า ธม นั้นคือ ธมฺ ในภาษาบาลี ซึ่งคือ ธรรม ในภาษาสันสกฤตนั่นเอง ดังนั้นนครธม คือ นครธรรม นั่นเอง

มันเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าชย. ๗ จะสร้างวัดพุทธยักษ์แล้วตั้งชื่อซื้อบื้อว่า เมืองใหญ่ มันต้อง เมืองธรรม แน่นอน อีกทั้งพิมาย ลพบุรี นั้นเป็นพุทธที่ใช้บาลี ก็เลยต้องกลายเป็นนครธมฺ

ภาพสลักนูนต่ำที่ทหารละโว้ และสยามไปเดินสวนสนามต่อหน้าพระพักตร์นั้น สำคัญมาก คือ ทหารจากลพบุรี และ สยาม ไปรบเพื่อกู้เมืองคืนจากพวกแขกจามที่มายึดพระนครนั่นเอง จากนั้นก็เดินสวนสนามเฉลิมฉลองชัยชนะ ทหารลพบุรีมีวินัยมาก เดินหน้าตรง ด้ามหอกทุกคนเรียงเป็นมุมแนวเดียวกัน แต่พอมาถึงกระบวนทหารสยาม มีคำสลักว่า “เนะ สยำกุก” (ประมาณว่า นี่ไงกองทัพสยาม) แต่ปรากฏว่า หันหน้ากันคนละทาง ปลายหอกก็ระเกะกะ นักวิชาการฝรั่งว่า ทหารสยามไม่มีวินัย แต่ผมว่า......

..ผมว่า ทหารลพบุรี ไม่มีคนรู้จักไม่รู้จะทักใคร ส่วนทหารสยาม เป็นคนพื้นเมือง มีญาติมิตรมายืนดูมาก ก็หันหน้าไปยิ้มแย้มทักทาย ก็เลยทำให้ดูไม่มีระเบียบ สรุปคือ สยำกุก เป็นคนพื้นเมืองพระนคร 

พระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ ที่ถือกันว่าเป็นผู้ให้กำเนิดนครวัดนั้น ฝรั่งว่ามาจากชวา (แต่บางคน เช่น ชาร์ล ไฮแอม ก็ว่า มาจาก ชามา หรือ แขกจาม) สำหรับผมเสนอว่า มาจาก ไชยา (ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัย) 

ชื่อท่านก็บอกชัดๆ ว่า ไชยาวรมัน (พระผู้เป็นเจ้าจากเมืองไชยา) ศรีวิชัย กับทวาราวดี เป็นพี่น้องกัน มีไชยา ศรีธรรมราช นครปฐม ลพบุรี พิมาย ต่อกันเป็นห่วงโซ่ แล้วให้กำเนิดนครวัดนั่นแล รวมทั้งช่วยปกป้องกอบกู้ยามสงครามกับแขกจามทางตอนใต้ของเวียตนาม

คำว่า วรมัน นักวิชาการฝรั่งก็ผิดอีก ไปแปลกันว่า โล่ (shield) แต่คำนี้ผมฟันธงว่าเป็นคำเดียวกับ พรหมมัน เพราะสยามเรานั้น พ กับ ว ใช้แทนกันได้ เช่น วิเศษ พิเศษ วิจิตร พิจิตร 

ชื่อปราสาทต่างๆ ในนครวัด นครธม ยังมีร่องรอยภาษาสยามแทบทุกแห่ง เช่น พิมานอากาศ นาคพัน ปักษีจำกรง เชื้อสายเทวดา เสาเปรต พระรูป ตาแก้ว ตาพรม

หลักฐานเหตุผลรายละเอียดยังมีอีกมาก แต่วันนี้เกินโควตาหน้ากระดาษแล้ว ขอจบเพียงเท่านี้ พร้อมนี้ขอท้าดวลกับบรรดานักวิชาการโปรเขมร ให้จัดเวทีใหญ่ มาโต้วาทีกับผม ในเรื่องนี้ ถ้าผมแพ้ จะยอมให้ตัดหัวเสียประจานไว้ที่หน้าประตูนครวัด ทั้งที่ผมเป็นวิศวกรเดี่ยวเดียวดาย  ส่วนกลุ่มก๊กพวกท่านเป็นดร. ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี  ให้รวมหัวมาโต้กับผมคนเดียว ให้รุมเลย  กล้ารับคำท้าผมไหม

...คนถางทาง (๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖)


หมายเลขบันทึก: 519614เขียนเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2013 20:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2013 20:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

ส่วนตัวแล้วไม่มีความรู้เรื่องเหล่านี้มาก่อน อ่านแล้วคล้อยตามและรู้สึกชอบแนวคิดนี้ ทำให้อยากอ่านทฤษฏีอื่นๆ ว่าเขาเขียนถึงเรื่องนี้กันอย่างไร

ทฤษฎีอื่นๆ   มี่หนึ่งเดียว คือ เขมรสร้างนครวัด ไงครับ  ส่วนสยามคือผู้บุกรุกไปทำลายเขมร จนต้องทิ้งนครวัด  ไปอยู่เมืองละแวก (พระยาละแวก) จากนั้นไปอยู่เมือง อุดงเมียนเชย  และไปอยู่พมมเป็น มาจนถึงวันนี้ สรุปคือ เขมรเป็นพระเอก ไทยเป็นผู้ร้าย ครับ 

On my last trip to Thailand, I went across the Kingdom from West to East. On the way, I visited many ancient stone buildings  (ปราสาทหิน) enough to say that (Hindi and Buddhist) cultures moved from West to East. And it is extreme unlikely that the ancient Kmer expanded westward. In another word, ancient Kmer was not a civilization originator of the region.

I saw in many museums signs saying something like "in the ancient Kmer style" (แบบเขมรโบราณ). This is possibly a gross error and need urgent correction so we don't spread the error (among those who visited the museums). Better history is best served with "in the Khom style" (แบบขอม) and let more studies and evidence on Khom clarify who they were.  

เกิดไม่ทัน แต่ก็อยากแสดงความคิดเห็นค่ะ  -- โดยส่วนตัวออกจะเชื่อว่า ขอม ไม่ใช่เขมร แน่นอน  แต่เค้าเป็นใครนี่ซิ ตอบยาก และน่าศึกษาต่อนะคะ  เพราะ มันยังเป็นปริศนา ที่รอวันให้ค้นคว้าต่อ  -- นักโบราณคดี น่าจะลองศึกษาต่ออีกหน่อยเนอะ เพราะเรามี จิ๊กซอร์ ที่เปิดได้หลายตัวแล้ว เหลือ การประติดประต่อ  ข้อมูลที่ค้นพบใหม่ กับข้อมูลที่มีอยู่เดิม -- ประวัติศาสตร์ไม่มี แค่ทฤษฎีเดียวหรอกค่ะ  อย่างน้อย ณ วันนี้ ถ้าเรายังมีข้อมูลสนับสนุนอื่นๆ  สมมติฐานใหม่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าปฏิเสธ  แต่มันเป็นสิ่งที่น่าค้นคว้าหาคำตอบใหม่   เพื่อไขความลับของประวัติศาสตร์หน้าใหม่ มากกว่าค่ะ   อาจจะค่อนข้างบ้า สารคดีสำรวจโลก มากไปหน่อย แต่คุณเชื่อมั๊ยคะว่า .. พอฝรั่งเค้าค้นพบ หลักฐานใหม่เรื่องเกี่ยวกับอะไร ทฤษฎีเก่าถูกพลิก เลยนะ ...   กลายเป็นช๊อก โลก  ไปเลย  

-- อย่างงี้ แนะนำให้ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษค่ะ ให้คนสนใจ อ่านแล้ว แปลตามยิกๆ  แล้วตอนจบก็บอกว่า เขียนโดยคนไทย คริคริคริ  สนุกดี -- เพราะคาดว่าอ่านภาษาไทย แล้ว คุณค่า ของคนที่คิดสิ่งใหม่ๆ  มันไม่น่าเชื่อ เหมือนฝรั่งตาน้ำข้าว เขียน  ....


อาจารย์ทำให้ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องอ่านแล้วชวนคิดมากเลยค่ะ แล้วคนในวงการเขาเองไม่เอามาถก มาวิเคราะห์ในมุมต่างๆอย่างนี้บ้างเหรอนะคะ น่าแปลกจัง

ที่ท่าน sr ว่ามานั้นตรงกับที่ผมได้เคยวิเคราะห์วิจารณ์ไว้ในอดีตครับ


ผมก็แปลกใจนะท่าน โอ๋ฯ ทั้งที่หลักฐานวันเวลาตรรกผมแม่นเปรี๋ยะ ชีิวิตที่เหลือนี้ผมจะพยายามอุทิศเพื่อเผยแำพร่เรื่องนี้ให้ระบาดไปให้มากๆ อาจเดินสายไปบรรยายยังมหาลัยต่างๆ ที่มีสาขาโบราณคดี


คุณ chutฯ ครับ ฉบับอังกฤษผมมีแล้ว สงสัยว่าจะเคยลงใน gtk ด้วยแล้ว

ผมตามอ่านเรื่องนี้มาได้สองปีแล้ว สนับสนุนแนวคิดนี้ อีกประการหนึ่ง คำราชาศัพท์ในราชสำนักของไทยกับของเขมรมีหลายคำที่ใช้เป็นคำเดียวกันประหนึ่งว่าเคยอยู่วังเดียวกันมาก่อน ถ้านักภาษาศาสตร์ทำการเปรียบเทียบคำเหล่านี้จะชัดเจนขึ้น

กับเรื่องประวัติศาสตร์ หากพูดแบบไม่มีหลักฐานพร้อมทั้งวิธีการวิจัยด้วยเทคโนโลยีที่เพียงพอ เขาเรียกกันว่า มโน 

มีคนเห็นแย้งครับ นักวิชาการจากเจอร์นอลศิลปวัฒนธรรม

https://www.silpa-mag.com/feat...

ความคิดบที่น่าอายที่สุด ขอมคือเขมรไม่ใช่ขอมคือสยามสยามคือชื่อเรียกประเทศไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น ประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ในสมัยของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม. เพิ่งมีนีเองคุณจะมาคิดว่าสยามเป็ยขอมได้ไง มโนเอาเองป่าว
ในสมัยนครวัดนั้น ไทยมีชื่อว่า เสียม สยาม, เมืองไทย, เป็นคำที่ชาวต่างชาติเรียกเพี้ยนจาก siam.เพราะเสียมคือเป็นอาวุธใช้สำหรับขุดแซะเดินเท่านั้น ส่วนขุดแซะเดินนั้นคงทราบดีว่าขุดดินแดนใครบ้าง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท