ดูโลก ดูธรรม และดูใจ |
โดย ดร.พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ เจ้าอาวาสวัดพุทธปัญญา |
เนื่องจากในขณะที่เข้าโครงการล้างพิษได้ฉันยาตามที่นายแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ จึงไม่สามารถจะยืนยันได้ว่า การที่น้ำตาลและไขมันลดลงอยู่ในระดับปกติมาจากการล้างพิษเพียงปัจจัยเดียว แต่จะต้องยกประโยชน์ให้แก่ยาที่หมอให้มาด้วย
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาถึงผลของการรับประทานยา ก็พบว่า ค่าของไขมัน และน้ำตาลในเส้นเลือดสูงมากกว่าเกณฑ์ปกติเข้าขั้นดื้อยามาเป็นเวลานาน เพราะฉันยาประเภทนี้มาตลอด แต่ไม่ค่อยได้ผล เพราะระดับไขมันและน้ำตาลมักจะลดลงอย่างเชื่องช้าแต่เวลาขึ้นจะขึ้นอย่างรวดเร็ว
จึงเป็นไปได้ว่า ตับที่มีพิษจากการสะสมของสิ่งตกค้าง ทำงานได้ไม่เต็มที่ เป็นสาเหตุให้ระดับไขมันและน้ำตาลสูงขึ้น เมื่อพิษบางส่วนในตับถูกขจัดออกไป ตับสามารถทำงานได้สะดวกคล่องตัวมากขึ้น ระดับไขมันและน้ำตาลจึงลดลง ตามความสามารถของตับและตับอ่อนที่จัดการไขมันและน้ำตาลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
จึงกล่าวได้ว่า การล้างพิษในตับช่วยส่งเสริมการทำงานของตับให้คล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลต่อเนื่องที่ตามมาคือช่วยปรับลดระดับไขมันและน้ำตาลในเส้นเลือดให้ลดลงได้ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
ในการเข้าโครงการล้างพิษครั้งที่สอง อาตมามีความตั้งใจจะติดตามเรื่องน้ำตาลในเลือดต่อไป โดยยุติการรับประทานยาทุกชนิดทั้งเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและไขมัน ก่อนที่จะเริ่มอดอาหาร อาตมาเจาะเลือดจากปลายนิ้วดู ผลออกมาระดับน้ำตาลสูงอยู่ที่ 157 แล้วเริ่มยุติการฉันยาตั้งแต่ต้นจนจบโครงการเป็นเวลา 5 วันเต็ม วันสุดท้ายเจาะเลือดปลายนิ้วดูผลเลือด ออกมาที่ 108 ส่วนระดับความดันโลหิตที่เคยสูงอยู่แถวๆ 160/90 ก็ลดลงมาอยู่ที่ 128/80 นับว่ามีส่วนในการปรับปรุงทั้งระดับความดันโลหิตสูงและระดับน้ำตาลในเลือดให้ต่ำลงได้ในระดับที่น่าพอใจระดับหนึ่งในช่วงเวลาที่กำลังเข้าโครงการ
หากจะสรุปผลเลือดเบาหวานตามประสาคนไม่มีความรู้เรื่องเบาหวานแบบซื่อๆ ก็คือเมื่อร่างกายไม่ได้รับน้ำตาลเข้าไปเลย หรือ ดื่มเพียงน้ำผึ้งเล็กน้อยที่ผสมน้ำมะนาว และดีเกลือก็ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นได้ นี่พูดแบบผู้ไม่รู้วิชาการ แต่พูดจากประสบการณ์ตรง ถ้าเป็นเช่นนี้ได้ คนเป็นเบาหวานน่าจะหาโอกาสอดอาหาร และอดของหวานดูบ้าง ระดับน้ำตาลจะลดได้บ้างไม่มากก็น้อย
หรือเมื่อตับได้รับการล้างพิษทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นตับอ่อนก็พลอยทำงานดีไปด้วย ผลิตอินซูลินออกมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้อีกแรงหนึ่ง การวิเคราะห์นี้อาศัยการทดลองคนเดียวเป็นหลักจึงไม่ยืนยันว่าถูกต้อง หรือไม่ปฏิเสธว่าผิด แต่ยืนยันว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมีเหตุปัจจัยแน่ ไม่ใช่เกิดขึ้นลอยๆ อย่างน้อยกับพระหนึ่งรูปในระยะเวลาที่ทดลอง
การทดลองแบบนี้โดยความเห็นส่วนตัวไม่พบผลข้างเคียงใดๆ ที่น่าจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย นอกจากความหิวรบกวนเท่านั้น แต่ผลที่ได้กลับมา ก็คือประหยัดอาหารในส่วนที่งดไปนั้นและเปิดโอกาสให้อวัยวะต่างๆ ที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องการจัดสารอาหารส่งไปหล่อเลี้ยงร่างกายมาตลอดชีวิตได้มีวันหยุดถึงสี่วัน นับเป็นการให้รางวัลชีวิตที่สำคัญยิ่งกว่ารางวัลอื่นใดที่ให้ความภูมิใจแก่ผู้รับเพียงชั่วครู่ชั่วยามแล้วผ่านไป หากตระหนักว่า การให้รางวัลชีวิตแบบนี้ดีต่อสุขภาพอย่างยั่งยืน ก็ควรมอบรางวัลชีวิตนี้บ่อยๆ จะได้พากันสุขสบายทั้งผู้ให้และผู้รับ
ระหว่างที่ได้เข้าโครงการนอกจากระดับน้ำตาลลดแล้ว ความดันที่เคยสูงก็ลดลงอยู่ในภาวะปกติ แต่ที่แน่ๆ คือน้ำหนักลดจริงๆ จากการเข้าโครงการสองครั้งลดได้ 10 กิโลกรัมกว่าๆ นิดๆ จากการที่เคยอยู่เลขที่ 104 กิโลกรัม ขึ้นไปสม่ำเสมอ ตอนนี้อยู่ที่ 92.50 และ 90 กิโลกรัม และน่าจะได้เห็นตัวเลขแปดสิบกว่าหากได้ทำคราวต่อไป
มีผู้ตั้งคำถามว่า ปรากฏการณ์ที่กล่าวมานี้จะเสถียรมากน้อยแค่ไหน
คำตอบก็คือยังตอบไม่ได้ สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ ความไม่แน่นอน ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงเมื่อมีเหตุปัจจัยที่ควรเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างล้วนเกิดแต่เหตุ ดับไปเพราะเหตุ ตามหลักอิทัปปัจจยตาที่ว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็มี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี
ข้อคิดจากการเข้าโครงการสองครั้งนี้ผ่านมา ชวนให้คิดถึงพระพุทธวจนะที่ว่า สัพเพ สัตตา อาหารัฏฐิติกา สัตว์ทั้งหลายดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร ของวิเศษในการที่ชวนให้สัตว์ทั้งหลายติดใจจนดิ้นไม่หลุด คือ รสอาหาร แม้ว่าอาหารจะถูกออกแบบมาเป็นพันเป็นหมื่นชนิด แต่รสหลักก็คงอยู่ที่ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม
แม้จะมีนักปรุงอาหารระดับชาติหรือระดับโลกปรุงรสได้หลากหลายแค่ไหน แต่ก็ทำได้เพียงเค็มอ่อนๆ หวานอ่อนๆ เค็มเข้มข้น หวานเข้มข้น มันอ่อนๆ มันเข้มข้น เปรี้ยวเข้มข้น หรือ นำมาผสมกัน แต่ก็ไม่หนีเครื่องปรุงเหล่านี้ไปได้
อย่างไรก็ตาม รสเปรี้ยวนับว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ไม่ค่อยจะมองเห็นโทษสักเท่าไร แต่หวาน มัน และ เค็ม สามรสนี้ ต้องบริโภคพอดีจริงๆ จึงมีจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย ดั่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า โภชเน มัตตัญญุตา รู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร เป็นคุณธรรมสำคัญอย่างหนึ่งในการดำเนินชีวิตของมนุษย์
อาหาร หวาน มัน เค็ม หากบริโภคพอประมาณ และพอดีจะเป็นยาบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพแข็งแรง เป็นสุขสดชื่น
ในทางตรงกันข้ามหากเมื่อใด อาหารหวาน มัน เค็ม ถูกบริโภคจนเกินพอดี เกินความต้องการของร่างกาย จะกลายมาเป็นแหล่งเพาะของโรคนานาชนิด ที่พร้อมจะทำให้ร่างกายอ่อนแอลง และทำลายอวัยวะต่างๆ จนถึงตายได้ ดังที่ทราบกันทั่วไปอย่างง่ายๆ ว่า
ทานอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาล หรือ ของหวานมากเกินไปเป็นเหตุให้เป็นเบาหวาน หากทานอาหารที่มีส่วนผสมของเกลือมากเกินไป เป็นเหตุให้เป็นความดันโลหิตสูง หากทานอาหารที่มีส่วนผสมของไขมันอิ่มตัวสูงมากเกินไป ทำให้ไขมันอุดตันในเส้นเลือดอันเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ มีโรคหัวใจเป็นต้น หากความตันโลหิตสูง ไขมันอุดตัน และเบาหวาน ทำงานร่วมกัน โอกาสที่ไตวายเฉียบพลัน หัวใจวายเฉียบพลัน ตาบอด ก็เกิดขึ้นได้ กับทุกคนโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม สถานะทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมือง แต่อย่างใด
17-01-2013 |
บันทึกไว้เมื่อวัย 54 ปี (0/194) |
13-01-2013 |
บันทึกการรักษาต่อมลูกหมากตอนที่ 2 (0/69) |
07-01-2013 |
บันทึกการรักษาต่อมลูกหมาก (ตอนที่ 1) (0/119) |
20-12-2012 |
สงบสุขสดใสในวันปีใหม่ 2556 (0/334) |
16-12-2012 | ศีลสร้างสุข (0/98) |
ไม่มีความเห็น