ไปจดทะเบียนหย่าในวันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2529 แต่ก่อนที่จะถึงวันนี้ คือวันหยุดพอดี เราเก็บสิ่งของที่เป็นของเรา จัดไว้เป็นระเบียบ น้ำตานองหน้าด้วยตัดสินใจด้วยตัวเอง สุขหรือทุกข์ก็ด้วยตัวเอง ไม่มีใครมารับรู้กับเราด้วย ไม่ได้เรียนให้คุณพ่อคุณแม่ทางกรุงเทพฯได้ทราบ บอกแต่น้องสาวตอนนั้นเป็นครูที่ชัยภูมิ เธอมาช่วยเก็บสิ่งของเพราะเป็นวันหยุด ผ้าม่านที่หน้าต่างที่เราเย็บด้วยตัวเองก็เก็บกลับมา ไม่ปล่อยอะไรทิ้งไว้ แม้แต่หมาที่เลี้ยงไว้ชื่อ น้อยหน่า แตงกวา สัปรส ก็ขนใส่รถสามล้อตุ๊กตุ๊ก ส่วนรถที่มาขนสิ่งของนั้นใช้รถปิกอัพของเพื่อนที่เราไปเช่าบ้านอยู่ เดือนละ 800 บาทในสมัยนั้น แต่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้
พ่อของสามีมาดูแลบ้าน เพราะเป็นบ้านของท่าน เราถอดสร้อยที่คอ สร้อยข้อมือ แหวน และเครื่องประดับอื่นๆวางไว้ และเรียนท่านว่า ฝากคืนด้วยค่ะ มันไม่ได้เป็นสัญลักษณ์แห่งครอบครัวอีกต่อไป และคิดในใจเหมือนเนื้อเพลงว่า เอารักของเธอคืนไป เอาหัวใจของฉันคืนมา ไม่สามารถทนทานการเลี้ยงดูของสามีด้วยลำแข้ง ทุกวันนี้ก็ยังมีรอยแผลปรากฏที่หน้าผาก บอกเตือนเราว่า เขาไม่ได้รักเราเลย
มุ่งหน้าไปข้างหน้าโดยไม่หันไปมองบ้านอีก เห็นแต่ต้นมะพร้าวเตี้ยที่เราได้ปลูกไว้ ร่องสวนที่ใส่ใจทำไว้ ไปอยู่บ้านเช่าทำด้วยไม้สองชั้น ไม่เคยอยู่โดดเดี่ยวแบบนี้ โดดเดี่ยวทั้งใจและกาย และเด็ดเดี่ยวที่จะอยู่ต่อไป กับรถมอเตอร์ไซค์ยามาฮ่านางพญาที่เป็นพาหนะคู่ชีพในการไปทำงาน และหมาสามตัว
ส่วนแผนการระยะยาวยังไม่คิด คิดอย่างเดียวว่า ทำอย่างไรที่จะได้ลูกทั้งสองกลับคืนมา
มาให้กำลังครูอ้อย สู้ สู้ ต่อไป อ่านบันทึกนี้แล้วครูทิพย์ น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวเลยค่ะ สงสารครูอ้อยมากๆ ค่ะ
ขอบคุณค่ะน้อง ครูทิพย์
เวลานั้น พี่ก็สงสารตัวเองมาก มาถึงเวลานี้ ชื่นชมตัวเองว่าเด็ดเดี่ยว และโชคดีบนความโชคร้ายเสมอค่ะ
ส่งกำลังใจให้ได้ลูกคืนมาไวๆนะคะ
ขอบคุณมากค่ะน้อง ชาดา ~natadee
เรื่องที่เล่า ผ่านมาเกือบ 30 ปีแล้วค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะค่ะ
ขอบคณน้อง กอหญ้า มากๆค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ อาจารย์น้องชาย ชยพร แอคะรัจน์
ขอบคุณ อาจารย์น้องชาย ธวัชชัย มากๆค่ะ
ขอบคุณพี่ใหญ่ นาง นงนาท สนธิสุวรรณ มากๆค่ะ
ขอบคุร คุณ สุภัทรา เจติโคตร มากๆค่ะ
ขอบคุณ คุณย่า บุษยมาศ มากๆค่ะ