คู่มือดับทุกข์


แนวทางในการที่จะเอาชนะความทุกข์ในชีวิต การปฎิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น อันเป็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์ทรงพระประสงค์ ที่จะให้ทุกคนเข้าถึง เพื่อความหมดทุกข์ทางใจ

คู่มือดับทุกข์

แนวทางในการที่จะเอาชนะความทุกข์ในชีวิต การปฎิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น อันเป็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์ทรงพระประสงค์ ที่จะให้ทุกคนเข้าถึง เพื่อความหมดทุกข์ทางใจ

จงประพฤติศีล 5 ให้สมบูรณ์ ด้วยการไม่ฆ่าสัตว์ทุกชนิด ไม่ขโมยสิ่งของๆใคร ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่โกหกหลอกลวงใคร และไม่ดื่มหรือเสพสิ่งเสพติดมึนเมา

แบ่งเวลาในแต่ละวันให้พอเหมาะพอดีแก่สภาพชีวิตของตน มีเวลาทำงานเพียงพอ มีเวลาพักผ่อนเพลิดเพลินในครอบครัวตามสมควร สำหรับผู้เป็นฆราวาส และมีเวลาฝึกสมาธิเพื่อทำจิตให้สงบ


ในการฝึกสมาธินั้น ให้นั่งอยู่อย่างสงบสำรวม อย่าเคลื่อนไหวอวัยวะมือเท้า จะนั่งกับพื้น เอาขาทับขาข้างใดข้างหนึ่งก็ได้ หรือจะนั่งพับเพียบก็ได้ หรือจะนั่งบนเก้าอี้ตามสบาย ไม่มีปัญหา

วิธีฝึกสมาธินั้น ขอให้เข้าใจว่า ท่านจะทำจิตให้สงบ ปราศจากความคิดนึกปรุงแต่งในเรื่องภายนอก ทุกชั่วเวลาที่ทำสมาธินั้น ท่านจะไม่ปรารถนาที่จะพบเห็นรูป สี แสง เสียง สวรรค์ นรก หรือเทวดาอินทร์พรหมที่ไหน เพราะสมาธิที่แท้จริงจะไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในจิตใจ สมาธิที่แท้มีแต่จิตที่สะอาดบริสุทธิ์ และสงบเท่านั้น

พอเริ่มทำสมาธินั้น โดยปกติแล้ว ให้หลับตาพอสบาย สำรวมจิตนับที่ลมหายใจ ทั้งหายใจเข้าและหายใจออก โดยจะนับอย่างนี้ว่า หายใจเข้านับ 1 หายใจออกนับ 2 อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทีแรกนับช้าๆ เพื่อให้สติต่อเนื่งอยู่กับการนับนั้น แต่ต่อไปพอจิตเข้าที่แล้ว นับก็จะหยุดนับของมันเอง

หรือบางทีอาจจะกำหนดพุทโธก็ได้ หายใจเข้ากำหนดว่า พุท หายใจออกกำหนดว่า โธ อย่างนี้ก็ได้ ไม่ขัดแย้งกันเลย เพราะการนับอย่างนี้เป็นเพียงอุบายที่จะทำให้จิต หยุดคิดปรุงแต่งเท่านั้น

แต่ในการฝึกแรกๆนั้น ท่านจะยังนับหรือกำหนดไม่ได้อย่างสม่ำเสมอ หรืออย่างตลอดรอดฝั่ง เพราะมักจะคิดเรื่องต่างๆนานา แทรกเข้ามาในจิต ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ช่างมัน ให้เข้าใจว่าฝึกแรกๆ มันก็จะเป็นอย่างนี้ ให้ท่านตั้งนาฬิกาเอาไว้ตามเวลาที่เหมาะสม ว่าจะทำสมาธินานเท่าไร เริ่มแรกอาจจะสัก 15 นาที และเฝ้านับหรือกำหนดอยู่จนครบเวลาที่ตั้งไว้ จิตมันจะมีความคิดมากหรือน้อยก็ช่างมัน ให้พยายามกำหนดนับตามวิธีการที่กล่าวมาแล้วจนครบเวลา ไม่นานนักจิตก็จะหยุดนิ่งและสงบได้ของมันเอง

การฝึกสมาธินั้นพยายามทำทุกวัน วันละ 2-3 ครั้ง แรกๆให้ทำครั้งละ 15 นาที แล้วจึงค่อยๆเพิ่มมากขึ้น จนถึงครั้งละ 1 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้นตามต้องการ

ครั้นกำหนดจิตด้วยการนับอย่างนั้นจนมีประสบการณ์พอสมควรแล้ว ท่านก็จะรู้สึกว่า จิตนั้นสะอาด สงบเย็น ผ่องใส ไม่หงุดหงิด ไม่หลับไหล ไม่วิตกกังวลต่อสิ่งใด นั่นแหละคือสัญญาลักษณ์ที่แสดงว่า สมาธิกำลังเกิดขึ้นในจิต

เมื่อจิตสงบเย็น ไม่หงุดหงิดเช่นนั้นแล้ว อย่าหยุดนิ่งเสีย ให้ท่านเริ่มน้อมจิตและพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ต่อไป ถ้ามีปัญหาชีวิต หรือปัญหาใดๆ ที่ทำให้ท่านเป็นทุกข์หรือกำลังกลัดกลุ้มอยู่ ก็จงน้อมจิตเข้าไปนึกพิจารณาปัญหา ด้วยความสุขุมรอบคอบ ด้วยความมีสติ

จงยกเอาปัญหานั้นมาพิจารณาว่า ปัญหานี้มันมาจากไหน มันเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะอะไรจึงหนักใจ ทำอย่างไรจะแก้ไขได้ ทำอย่างไรจึงจะเบาใจ และไม่เป็นทุกข์กับมัน


การพิจารณาอยู่ด้วยสติอันสงบเย็นนี้ การถามหาเหตุผลกับตัวเองอย่างนี้ จิตจะค่อยๆรู้เห็น และเกิดความคิดนึกรู้สึกอันฉลาดขึ้นมาโดยธรรมชาติของมัน จิตจะสามารถเข้าใจต้นสายปลายเหตุของปัญหาต่างๆ ได้อย่างชัดเจนและถูกต้อง นักปฎิบัติจึงต้องพยายามพิจารณาปัญหาต่างๆ อย่างนี้เรื่อยไป หลังจากที่จิตสงบแล้ว

ในกรณีที่ยังไม่มีปัญหาความทุกข์เกิดขึ้น หลังจากที่จิตสงบเป็นสมาธิแล้ว จงพยายามคิดหาหัวข้อธรรมะหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งมาพิจารณา เช่น ยกเอาชีวิตของตนเองมาพิจารณาว่า มันมีความมั่นคง จีรังยั่งยืนอะไร เพียงไหน ท่านจะได้อะไรจากชีวิต คือร่างกายและจิตใจนี้ ท่านจะอยู่บนโลกนี้นานเท่าไร เมื่อท่านตายท่านจะได้อะไร ให้พยายามถามตัวเองเช่นนี้เสมอ

หรือท่านอาจจะน้อมจิตไปสำรวมการกระทำของตัวเองเท่าที่ผ่านมา พิจารณาดูว่า ท่านได้ทำประโยชน์อันใดให้แก่ส่วนรวม ท่านได้ทำอะไรผิดพลาด และตั้งใจว่า ต่อไปนี้ท่านจะไม่ทำในสิ่งที่ผิด จะไม่พูดในสิ่งที่ไม่ดี จะไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนไม่สบายใจ ท่านจะพูดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่โลกนี้ ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของชีวิตท่านเอง

จงเข้าใจว่า เป้าหมายที่ถูกต้องของการฝึกสมาธินั้น คือท่านจะฝึกสมาธิให้จิตสงบจากอารมณ์ภายนอก ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิแล้ว จิตนั้นจะมีกำลัง และมั่นคงสภาวจิตเช่นนั้นเอง ที่มันจะมีความพร้อมในการรับรู้ จะเข้าใจปัญหาต่างๆ หรือสิ่งต่างๆ ที่แวดล้อมตัวท่านอยู่ ได้อย่างถูกต้องตามเป็นจริง

สรุปว่า ท่านจะฝึกสมาธิเพื่อจะเรียกกำลังจิตจากสมาธินั้นไปพัฒนาความคิดนึก หรือความรู้สึกของท่านให้ถูกต้อง ซึ่งความรู้สึกนึกคิดที่ถูกต้องนั้น แท้จริงก็คือปัญญา นั่นเอง


จงจำไว้ว่า ปัญหายิ่งใหญ่ในชีวิตท่านก็คือความทุกข์ ความกลัดกลุ้มใจ และความทุกข์นั้นก็จะไม่หมดไปได้ เพราะการไหว้วอนบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ แต่มันจะหมดไปจากใจของท่านได้ ถ้าท่านมีปัญญารู้เท่าทันตามความเป็นจริง ในสิ่งที่ทำให้ท่านเป็นทุกข์นั้น

ดังนั้น ในการฝึกสมาธิทุกครั้ง ท่านจึงต้องกำหนดจิตให้สงบเสียก่อน จากนั้นจึงเอาจิตที่สงบนั้นมาพิจารณาทบทวนปัญหาที่ทำให้ท่านนั้นเกิดทุกข์

ท่านจะต้องรู้ความจริงด้วยว่า ปัญหาที่ท่านไม่สามารถแก้ไขได้นั้น เพราะมันเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ตามสภาพแวดล้อมของมัน แต่หน้าที่ของท่านคือ ท่านจะต้องพยายามหาวิธีทำให้ดีที่สุด โดยคิดว่าทำดีที่สุดได้เพียงเท่านี้ ผลจะเกิดอย่างไรก็ช่างมัน ปัญหาจะหมดไปหรือไม่ก็ช่างมัน ท่านจะได้หรือเสียก็ช่างมัน ท่านทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด ท่านก็ถูกต้องแล้ว เรื่องจะดีจะร้ายจะได้หรือเสียมันไม่ใช่เรื่องของท่าน

ท่านจะต้องเปิดใจให้กว้าง ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ว่ามันเกิดขึ้นได้ตามเหตุและปัจจัยของมัน เช่นเรื่องที่ไม่ดี ไม่ปรารถนา มันก็จะเกิดขึ้นกับท่านตามเหตุและปัจจัยของมันเอง เพราะทุกสิ่งเป็นของที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน บางทีมันก็ดี บางทีมันก็ไม่ดี มันเป็นอยู่อย่างนี้เอง เรื่องไม่ดีที่ไม่ปรารถนานั้น แท้จริงมันเป็นสอ่งที่อยู่คู่โลกนี้มานานแล้ว ทุกคนล้วนต้องประสบกับมัน แม้ว่าจะมีลักษณะแตกต่างกันบ้างก็ตาม เรื่องไม่ดีที่ไม่ปรารถนานั้น ไม่ได้เกิดจากอำนาจเทวดาฟ้าดินที่ไหนเลย มันเป็นธรรมดาที่มีอยู่ในโลกอย่างนี้

จงรู้จักธรรมะข้อที่ว่า อนิจจตา ซึ่งแปลว่า ความไม่เที่ยง สิ่งมีเหตุปัจจัย ปรุงแต่งทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยวแท้ทั้งนั้น ความเปลี่ยนแปลงจากดีไปเลว เปลี่ยนแปลงจากสมหวังเป็นผิดหวัง ฯลฯ ก็ล้วนแต่เป็นเพราะความไม่เที่ยงแท้ของมันเอง ดังนั้นจึงอย่าทุกข์โศก ไปกับเรื่องดีร้าย ได้เสียที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่จงรู้จักมันว่า มันเป็นของมันอย่างนี้ มันไม่เที่ยงแท้สักสิ่งเดียว ถ้าท่านรู้อย่างนี้ด้วยความสงบของสมาธิ จิตท่านก็จะไม่เป็นทุกข์เลย

จงรู้จักธรรมะข้อที่ว่า ทุกขตา ซึ่งแปลว่า ความเป็นทุกข์ จงจำไว้ว่า ชีวิตคนเรานั้นล้วนแต่มีความทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น ลักษณะของความทุกข์นั้นได้แก่ ความเกิด แก่ เจ็บ และตาย ความโศกเศร้า ความอาลัยอาวรณ์ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ความที่ได้รับสิ่งที่ไม่ปรารถนา ความพลัดพรากจากคนรักหรือของรัก ความผิดหวัง เหล่านี้คือความทุกข์ ที่คนทุกชาติทุกภาษาในโลกนี้กำลังประสบอยู่

จงรู้จักธรรมะข้อที่ว่า อนัตตา ซึ่งแปลว่า ความไม่ใช่ตัวเราหรือของเรา หรือความปราศจากแก่นสารที่ยั่งยืนถาวร ข้อที่ว่า สิ่งทั้งหลายไม่มีตัวตนแก่นสารที่ถาวรนั้น หมายความว่า สิ่งเหล่านั้นจะมีอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง จะนานหรือไม่แล้วแต่เหตุการณ์ของมัน ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืนตลอดไป ดังนั้นตัวตนที่เป็นของยั่งยืนถาวรของมันจึงไม่มี สิ่งเหล่านั้น มันหมายรวมถึงร่างกาย และจิตใจของเราทุกคนด้วย

เมื่อทุกสิ่งเป็นของไม่เที่ยงแท้ ชวนแต่จะให้เราเป็นทุกข์กับมัน และไม่ใช่สิ่งที่เป็นแก่นสารถาวรเช่นนั้นแล้ว เราจะมัวไปลุ่มหลงอยากได้อยากเป็นอะไร ให้มันมากเรื่องไปโดยเปล่าประโยชน์อีกเล่า


ในการฝึกสมาธินั้น ให้แบ่งเวลาออกเป็น 2 ช่วง คือ

ช่วงแรก ต้องกำหนดจิตให้สงบ ไม่ต้องคิดเรื่องอะไร ส่วนช่วงที่ 2 จึงอาศัยจิตที่สงบนั้นเป็นตัวพิจารณาสิ่งต่างๆ อย่างรอบคอบ

พอครบเวลาที่กำหนดไว้แล้ว เมื่อเลิกนั่งสมาธิ ก็ให้ตั้งความรู้สึกไว้ว่าต่อไปนี้ท่านจะมีสติ พิจารณาสิ่งต่างๆอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการพิจารณานั้น ท่านจะพิจารณา ให้เห็นสภาพที่เป็นจริงของสิ่งเหล่านั้น ซึ่งล้วนตกอยู่ภายใต้กฎแห่ง ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่มีแก่นสารถาวรทั้งสิ้น

จงเตือนตัวเองว่า ทุกสิ่งกำลังจะเปลี่ยนไป มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน มันจะเกิดเรื่องที่ไม่ดีกับเราเมื่อไรก็ได้ หรือมันจะเกิดเรื่องดีที่ถูกใจเราเมื่อไรก็ได้อีกเช่นกัน เพราะสิ่งเหล่านั้นมันไม่เที่ยง ดังนั้นเราจะต้องทำจิตพร้อมรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยไม่ต้องดีใจหรือเสียใจไปกับเรื่องเหล่านั้น

จงพยายามทำจิตให้ปล่อยวางอยู่เสมอ หมายความว่า ท่านจะต้องพยายาม รักษาจิตใจให้สะอาด อย่าคิดอะไรให้เป็นทุกข์ อย่าอยากได้อะไรมากจนเกินพอดี อย่าถือตัว อย่าถือทิฐิมานะ รักษาจิตให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ จงน้อมจิตให้เห็นสภาวะที่สงบ และสะอาดอยู่เสมอ วิธีนี้จะทำให้จิตของท่านสงบเย็น ผ่องใส และไม่เดือดร้อนได้เป็นอย่างดีที่สุด

จงตั้งใจว่า แม้ท่านจะออกจากการนั่งสมาธิแล้ว แต่ท่านจะรักษาจิตใจให้สะอาดผ่องใสและไม่ถือมั่น ไม่แบกเอาสิ่งต่างๆ มาไว้ในใจให้หนักใจเปล่า ซึ่งวิธีนี้จะทำให้สมาธิเกิดอยู่ในจิตตลอดเวลา

จะคิดเรื่องอะไรก็จงคิดด้วยปัญญา คิดเพื่อที่จะทำให้เกิดความถูกต้อง คิดเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย ให้พวกเขาได้รับความสุขสงบในชีวิต คิดเพื่อทำหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด คิดที่จะทำให้ตนเองและคนอื่นสัตว์อื่น มีความสุข และไม่มีทุกข์อยู่เสมอ


จงจำไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดจะมาทำให้ท่านเป็นทุกข์ได้ นอกจากความคิดผิดๆของท่านเอง ถ้าคิดผิด ท่านจะเป็นทุกข์ ถ้าคิดถูกท่านก็จะไม่เป็นทุกข์


จงอย่าเชื่อสิ่งงมงายไร้เหตุผล เช่น เมื่อมีทุกข์ หรือเรื่องไม่ดีที่ไม่ปรารถนาขึ้น ก็ไปบนเจ้าที่เจ้าทาง ไปไหวจอมปลวก ไหว้ต้นไม้ใหญ่ ฯลฯ ปรารถนาจะให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านคิดว่ามีจริงในสถานที่เหล่านั้น ให้มาช่วยท่านพ้นทุกข์อย่างนี้เป็นต้น นี่คือความงมงาย จงละเลิกมันเสีย เพราะมันจะทำให้ท่านสิ้นเปลืองทรัพย์สินและเวลาโดยเปล่าประโยชน์ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้เชื่อในสิ่งเหล่านี้

จงรู้ความจริงว่า เรื่องที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจนี้ เป็นธรรมชาติธรรมดาที่มีอยู่ในโลกนี้ บางทีท่านก็ได้ตามที่ปรารถนา บางทีก็ไม่ได้ดังปรารถนา มันเป็นของธรรดาอยู่อย่างนี้ อย่าไปตื่นเต้นดีใจเสียใจกับมัน

ตลอดเวลาที่ท่านกำลังทำกิจการงานอะไรอยู่ จงน้อมจิตให้มองเห็นความสงบที่ท่านเคยพบในการฝึกสมาธิ และจงมองเห็นความเปลี่ยนแปลง ของทุกสิ่งทุกอย่างภายนอก จงแยกมันให้ออกว่า สิ่งหนึ่งคือจิตอันสงบของท่าน ส่วนอีกสิ่งหนึ่งคือสิ่งปรุงแต่งของโลก สิ่งทั้ง 2 นี้มันแยกกันอยู่โดยธรรมชาติของมัน

ถ้าท่านไม่มองหาความสงบ แต่หันไปอยากได้อยากดีกับสิ่งภายนอก จิตของท่านจะสับสนวุ่นวาย และเป็นทุกข์ แต่ถ้าท่านมองเห็นความสงบของจิต และควบคุมจิตไม่ให้ไปอย่ากได้ใคร่ดี ทะเยอทะยานไม่รู้จักพอนี้ จิตของท่านก็จะสงบเย็นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าท่านจะ ยืน นอน นั่ง เดิน หรืออยู่ที่ใดก็ตาม ไม่ว่าท่านจะเป็นคนรวยหรือยากจนสักเพียงใด จิตของท่านก็จะไม่เป็นทุกข์ เพราะการฝึกจิตด้วยวิธีนี้

จงใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งปัญญานั้น หมายถึงความมีสติที่รู้จักประคับประคองจิต ให้สะอาดอยู่เสมอ รู้จักทำจิตให้ปล่อยวาง ทำจิตให้โปร่งเบา รู้เท่าทันว่า อะไรถูกอะไรผิด

ถ้าผิดท่านจะไม่ทำไม่พูด ถ้าถูกท่านจะทำจะพูด

และรู้จักพิจารณาว่าหน้าที่ที่ท่านจะทำสิ่งนั้นๆ คืออะไร แล้วก็ทำให้ดีที่สุด พยายามแก้ไขปัญหานั้นให้สงบไปด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรมและถูกต้องที่สุด โดยไม่เห็นแก่ตัว วิธีนี้จะทำให้ปัญญาของท่านคมชัด และไม่มีความทุกข์อยู่ในจิตเลย

ท่านต้องรู้ว่า คนส่วนมากในโลกนี้เขามีกิเลส คือ ความโลภ โกรธ หลง ดังนั้นบางทีเขาก็คิดถูกทำถูก แต่บางทีก็คิดผิดทำผิด บางทีก็โง่บางทีก็ฉลาด เพราะฉะนั้น ท่านจะต้องอภัยให้เขา ค่อยๆพูดกับเขา ไม่ด่าว่ากล่าวรุนแรงกับเขา ท่านจะต้องใช้ปัญญาของท่านเข้าไปสอนเขา ไปชักจูงให้เขาเดินในทางที่ถูกต้อง นี่คือหน้าที่ของผู้มีปํญญา ที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนโง่ ที่มีอยู่ในโลกนี้เป็นจำนวนมากมหาศาล

ผลที่ได้รับก็คือ ท่านจะเป็นคนที่มีจิตใจเยือกเย็น และน่าเคารพกราบไหว้ของคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านจะไม่เป็นทุกข์ร้อนเลย แม้ว่าจะพบเห็นหรือเกี่ยวข้องกับคนมากมาย หลายประเภทในโลกนี้อยู่เสมอ

การพิจารณาอย่างต่อเนื่อง แม้ในตอนที่ไม่ได้นั่งสมาธิอยู่อย่างนี้ คือการปฎิบัติเพื่อให้เกิดปัญญา ซึ่งปัญญานั้นสูงสุดก็คือการรู้จักปล่อยวาง ไม่แบกหามภาระใดๆ มาไว้ในใจจนนอนไม่หลับ และเป็นทุกข์นั่นเอง

จงจำไว้ว่า การฝึกสมาธินั้น แท้จริงแล้วท่านทำเพื่อให้เกิดปัญญา ซึ่งปัญญานั่นเองที่ทำลายความทุกข์ทางใจให้หมดสิ้นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ใช่แค่เพียง การอ้อนวอนอธิษฐานเอาอะไรๆ ตามใจตัวเอง

จงตั้งใจไว้ว่า ถ้าจะรู้สึกเป็นทุกข์หงุดหงิดเมื่อไร ท่านจะสลัดมันทิ้งเมื่อนั้น ท่านจะไม่เก็บไว้ในใจ

ถ้าท่านสลัดอารมณ์ไม่ดีให้หลุดได้เมือใด ท่านก็จะรู้แจ้งธรรมะเมื่อนั้น ท่านจะหมดทุกข์เมื่อนั้น ท่านจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตท่าน ในนาทีที่ท่านสลัดอารมณ์หงุดหงิดไม่สบายออกไปจากใจได้

ในตอนเจ็บไข้ได้ป่วย จงอย่าคิดอยากจะหายจากโรคนั้น แต่จงคิดว่า ท่านจะรักษาไปตามเรื่องของมัน บางทีก็หายบางทีก็ไม่หาย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ท่านไม่เป็นโรคนี้ ท่านก็ต้องตายอยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่จำเป็นจะต้องเสียใจ หรือหวาดกลัวต่อโรคนั้น

จงตามดูความรู้สึกภายในจิตอยู่เสมอ ถ้าจะวิตกกังวลให้ตัดทิ้งเลย ถ้าจะหงุดหงิดให้ตัดทิ้งเลย ถ้าจะห่วงอะไรให้ตัดทิ้งเลย ถ้าทำอย่างนี้อยู่เสมอ ปัญญาของท่านจะเต็มเปี่ยมอยู่เสมอในจิต นี่แหละคือทรัพย์อันประเสริฐสุดในชีวิตท่าน และสิ่งเลวร้ายต่างๆ ก็จะสลายตัวไปเองในที่สุด

ปัญหาที่ทำให้ท่านหนักใจเป็นทุกข์ จะไม่เกิดขึ้นในจิต ถ้าท่านทำจิตให้สลัดอารมณ์ดีร้ายเหล่านี้ อยู่เช่นนี้เสมอ สมาธิก็จะมั่นคงต่อเนื่องอยู่ในจิต แม้ท่านกำลังเดินเหินไปมา หรือทำงานทุกอย่างอยู่ ถ้าหากว่าท่านพยายามทำจิตให้ปล่อยวางอยู่อย่างนี้ สมาธิก็จะมั่นคงยิ่งขึ้นอีก

อย่าคิดจะให้สิ่งต่างๆ มันเป็นไปตามใจของท่านหมด แต่จงคิดว่า มันจะเกิดเรื่องดีร้ายอย่างไรก็ให้มันเกิด ท่านจะพยายามหาทางแก้ไขมันไปตามความสามารถ

แก้ได้แก้เอา แก้ไม่ได้ก็เอา เรื่องดีก็ทิ้ง เรื่องร้ายก็ทิ้ง สุขก็ทิ้ง ทุกข์ก็ทิ้ง แล้วจิตของท่านจะเป็นอิสระ และไม่เป็นทุกข์เลย

ท่านจงอย่าปล่อยให้ความอยากความรักตัว หวงตัว เกิดในจิต เพราะธรรมชาติอย่างนั้นมันเป็นสิ่งสกปรกที่จะบั่นทอนจิตของท่านให้ตกต่ำและเป็นทุกข์

พอมีเวลาว่าง จงน้อมจิตสู่สมาธิอันสะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ แม้จะทำวันละ 5 นาที สมาธิที่ถูกต้องก็จะเกิดขึ้นในจิตได้เช่นเดียวกัน และจะเพิ่มปริมาณความสงบสะอาดของมันเรื่อยไป จิตของท่านจะมั่นคงแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไป

จงอย่าคิดว่า ฉันปฎิบัติไม่ได้ ฉันไม่มีกำลังใจที่จะปฎิบัติควบคุมจิตตังเอง อย่าคิดอย่างนั้นเป็นอันขาด เพราะความคิดอย่างนั้นมันเป็นการดูหมิ่นตัวเอง เป็นการตีค่าตัวเองต่ำเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

เมื่อมีปัญหายุ่งยากเกิดขึ้น จงหยุดคิดทุกอย่างก่อน ให้น้อมจิตสู่การกำหนดลมหายใจ นับ 1-2 กลับไปกลับมาพร้อมกับลมหายใจนั้น สักนาทีหนึ่ง แล้วน้อมจิตเข้าไป พิจารณาปัญหานั้นว่า นี่มันคืออะไร ทำอย่างไรเราจึงจะไม่เป็นทุกข์ไปกับมัน เราควรทำอย่างไร จึงจะทำให้เรื่องนี้มันสงบไปได้อย่างถูกต้องที่สุด

การทำอย่างนี้จะทำให้เข้าใจสถานการณ์นั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง และท่านจะเกิดความคิดที่เฉียบแหลม ในการที่จะแก้ไขปัญหานั้นได้ด้วยสติปัญญาของตัวเอง

หลักสำคัญที่จะลืมไม่ได้คือ จงปล่อยวางอยู่เสมอ จงทำจิตให้ปล่อยวาง อย่าเก็บเอาสิ่งต่างๆมาค้างไว้ในจิตใจด้วยความอยากเป็นอันขาด แล้วปัญหาทุกอย่างก็จะสลายตังไปในที่สุด โดยที่ท่านจะไม่เป็นทุกข์

พอถึงเวลาก็นั่งสมาธิ พอออกจากสมาธิก็ตามดูจิต และทำจิตใจให้ปล่อยวาง มองเห็นความไม่เที่ยงของทุกสิ่งอยู่เป็นประจำ

จงยอมรับการเกิดขึ้นของทุกสิ่งทุกอย่าง ยอมให้มันเกิดขึ้นกับท่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายหรือดี พยายามหาทางทำกับมันให้ดีที่สุด โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ไปกับมัน

นี่คือการฝึกจิตให้สงบและฉลาด ซึ่งทุกท่านสามารถทำได้ไม่ยากเลย

จงคิดเสมอว่า ชีวิตท่านกำลังเดินเขา้หาความตาย และการพลัดพรากจากทุกสิ่งในโลกนี้ เพราะฉะนั้นอย่าประมาท คือ อย่ามัวเมาสนุกสนานอยู่ในโลก โดยไม่หาทางรอดพ้นให้กับตัวเอง เพราะความประมาทอย่างนั้น มันจะทำให้ท่านพลาดโอกาส ที่จะได้รับสิ่งที่ดีๆในชีวิต ซึ่งหมายถึงสติปัญญาความหลุดพ้น

ความหลุดพ้นทางจิตคือ ความที่จิตไม่เป็นทุกข์กลัดกลุ้ม

ธรรมชาติแห่งความหลุดพ้นนี้ ท่านทุกคนสามารถเขา้ถึงได้ ถ้าฝึกจิตให้ถูกต้อง ซึ่งการฝึกจิตให้ถูกต้อง อย่างนี้เรียกว่า การปฎิบัติธรรม นั่นเอง

การฝึกจิตให้เป็นสมาธิ และใช้สติตามดู อาการภายในจิตของตนเอง และทำจิตใจให้ปล่อยวางอยู่อย่างนี้เสมอ ความทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้นภายในใจท่านเลย

อย่าเชื่อง่ายจนเกินไป อย่าคิดว่าใครพูดอะไรก็จะเป็นจริงตามนั้น อย่างเชื่ออย่างนั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีอาจารย์สอนธรรมะว่า ต้องปฎิบัตอย่างนี้จึงจะถูก ธรรมะของฉันเท่านั้นที่ถูกต้อง ธรรมะของคนอื่นไม่ถูก หรือพูดว่าจิตกับใจต่างกัน ใจนั้นอยู่บนจิต ส่วนจิตนั้นอยู่ใต้ใจ ฯลฯ อย่างนี้ก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะนั่นเป็นเพียงความคิดเห็น ของเขาแนวหนึ่งเท่านั้น จะเอามาเป็นมาตรฐานว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องสมบรูณ์แล้วไม่ได้

แต่การฝึกจิตให้ปล่อยวาง จนจิตมันวางได้จริง มันไม่ยึดติดอยู่ในอารมณ์ทุกรูปแบบได้จริง นั่นแหละจึงจะเป็นธรรมะที่ถูกต้องแท้จริง เพราะความทุกข์จะหมดไปจากจิตใจได้จริงๆ จาการฝึกปฎิบัติอย่างนั้น

จงจำไว้ว่า สมาธินั้น ท่านทำเพื่อให้จิตหยุดคิดปรุงแต่ง แล้วกำลังความมั่นคง และความสงบของจิตก็จะเกิดขึ้น

การทำสมาธินั้น เพียงแต่สำรวมเข้าสู่อารมณ์อันเดียว ด้วยการนับหรือ กำหนดอะไรสักอย่างหนึ่งอยู่อย่างต่อเนื่อง และเงียบเชียบ เท่านี้ก็ถูกต้องแล้ว สมาธินั้นจะถูกต้อง และทำให้เกิดปัญญาได้จริง

การฝึกจิตให้สงบ และฝึกคิดให้รู้เท่าทันสิ่งต่างๆตามจริง นี้คือการปฎิบัติธรรม ตามแนวทางของพระพุทธศาสนา เพื่อความหมดทุกข์ในที่สุด

จงเข้าใจว่า การปฎิบัติธรรม เป็นเรื่องของการฝึกจิต ให้สงบ ฉลาด ให้รู้จักหยุดคิดปรุงแต่งเป็นบางครั้ง และให้รู้จักทำจิตให้ปล่อยวางอยู่ตลอดเวลา ความทุกข์ก็จะสลายไปเองในที่สุด ตามกาลของมัน และจากประสบการณ์ของท่าน

จงทำจิตให้ปล่อยวางอยู่เสมอ แล้วปัญหายุ่งยากก็จะสลายไป อย่าตระหนี่ อย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่ได้ และจงให้ทานอยู่เสมอ อย่างท้อแท้ในการฝึกจิตให้สงบและฉลาด

มีเวลาเมื่อไร จงทำจิตให้สงบเมื่อนั้น และเมื่อสงบแล้วก็จงถอนจิตออกมาพิจารณาสิ่งแวดล้อมทุกอย่าง และอย่าถือมั่นไว้ในใจ

จงยอมให้คนอื่นได้เปรียบท่าน โดยไม่ต้องโต้ตอบกับเขา แล้วท่านจะเป็นผู้ชนะอย่างถาวร หมายความว่า ท่านจะชนะความทุกข์ใจได้อย่างถาวร แม้จะมีคนมากลั่นแกล้งท่าน หรือก่อตัวเป็นศัตูรกับท่านอยู่เสมอก็ตาม


จงเชื่อว่า เมื่อท่านทำดีและถูกต้องแล้ว มันก็จะดีและถูกต้องแล้ว คนอื่นจะรู้ความจริงหรือไม่ เขาจะยอมรับหรือสรรเสริญท่านหรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องของท่าน เรื่องของท่านคือ ต้องทำดีให้ถึงที่สุด และให้ถูกต้องที่สุด โดยไม่หวังผลตอบแทน เมื่อนั้นท่านก็จะเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐสุดอยู่ในตัวเอง


จงพยายามเข้าหาครูบาอาจารย์ผู้มีปัญญา ที่จะสอนท่านให้รู้แจ้งธรรมะได้อยู่เสมอ การเข้าใกล้สมณะที่เป็นเช่นนั้น จะช่วยให้ท่านได้สติปัญญาและรู้แนวทาง ในการดำเนินชีวิตของท่านอย่างถูกต้อง

อย่าลืมหลักปฎิบัติที่ว่า หยุดคิดให้จิตสงบ แล้วจากนั้นก็คิดอย่างสงบ เพื่อทำจิตให้ปล่อยวางอยู่เสมอ อย่าถือมั่นว่า ชีวิตคือร่างกายและจิตใจของท่านเป็นของไม่เที่ยง ถ้าถือเช่นนั้น ท่านก็จะเป็นทุกข์ เพราะชีวิตที่ไม่เคยแน่นอนของท่าน 

จงหมั่นเสียสละทรัพย์สินเงินทองให้แก่ผู้อื่นอยู่เสมอ การกระทำเช่นนี้จะช่วยให้จิตใจสะอาด และมีความพร้อมที่จะบรรลุถึงความหลุดพ้นได้ในที่สุด จงเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ตายแล้วจะไม่ได้อะไรไป ดังนั้นจงฝึกจิตให้สงบและปล่อยวางอยู่เสมอ อย่าเห็นแก่ตัว แล้วท่านจะบรรลุถึงความหลุดพ้นที่ปรารถนา 

จิตที่สะอาดปราศจากความอยาก และความถือมั่นในตัวเอง คือจิตที่หลุดพ้นจากความทุกข์ แล้วอย่างสิ้นเชิง จงพยายามฝึกจิตให้เป็นเช่นนั้น

การปฎิบัติธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่เรื่องลึกลับมหัศจรรย์ ที่ทำไปเพื่อติดต่อพบปะกับดวงวิญญาณต่างๆ ไม่ใช่อย่างนั้น

แต่การปฎิบัติธรรมที่แท้ เป็นเรื่องของการฝึกจิตให้สงบและฉลาด ให้จิตมั่นคงและปล่อยวาง ความทุกข์จะหมดไปด้วยการปฎิบัติอย่างนี้เท่านั้น


อย่ายึดถือทุกสิ่ง และจงปล่อยวางทุกสิ่ง แล้วความทุกข์ความกลัดกลุ้มก็จะหมดไป ในขณะที่ท่านจะสามารถทำการงานและแสวงหาสิ่งใดที่ถูกต้องได้ทุกสิ่ง


ความทุกข์จะหมดไป เพราะท่านได้อะไรๆสมใจอยาก แต่การได้อะไรสมใจอยากนั่นแหละที่จะทำให้ท่านเป็นทุกข์ ในสักวันหนึ่ง คือวันที่สิ่งเหล่านั้นมันหายไปจากท่าน


ความทุกข์จะหมดไป เพราะท่านมีจิตใจที่สงบและฉลาด รู้จักหยุดและปล่อยวาง รู้จักสร้างสรรค์ และเสียสละ 

อย่างนี้เรื่อยไป ในขณะทำสมาธิ ถ้ามันมีความคิดมากมายประดังเข้ามา ก็จงดูมัน และรอสักครู่หนึ่ง ความคิดมากมายนั้นก็จะสลายไปเอง จงรู้ว่า สมาธินั้น จะต้องมีอยู่เสมอ แม้จะทำกิจการงานใดๆอยู่ก็ตาม

สมาธิเปรียบเสมือนลมหายใจที่มีอยู่ตลอดเวลา แต่ท่านลืมดูมันเท่านั้นเอง 

ถ้ารู้อย่างนี้ สมาธิก็จะกลายเป็นสิ่งที่ฝึกได้ไม่ยาก เพียงแต่ท่านสำรวมจิตเข้ามา เลิกสนใจสิ่งภายนอกเสียเท่านั้น สมาธิก็จะปรากฎขึ้นในจิตทันที

จงรู้ไว้ว่า สมาธิอย่างเดียวยังไม่สามารถทำให้จิตของท่านหมดทุกข์ได้ แต่สมาธินั้นจะต้องมีปัญญาประกอบด้วย ท่านจึงจะเอาชนะปัญหาทางใจของท่านได้

ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้นคือทางออกไปจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ทางอื่นหรือความเชื่ออื่น ไม่สามารถจะทำให้หลุดพ้นออกไปจากความทุกข์ได้

การอ้อนวอนหรือบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ได้อะไรๆ ตามที่ท่านปรารถนานั้น มันขึ้นอยู่กับกฎแห่งความไม่เที่ยงเหมือนกัน บางทีก็ได้ บางก็ไม่ได้ และที่ท่านได้มา ก็เพราะว่ามีเหตุที่ทำให้ท่านต้องได้สิ่งนั้นอยู่แล้ว มันจึงได้มา ไม่ใช่เพราะสิ่งอื่นมาช่วยให้ท่านได้มา

อย่างไรก็ตาม แม้ท่านจะได้อะไรๆ มาตามที่ปรารถนา แต่สิ่งนั้นก็จะไม่อยู่กับท่านอย่างถาวรตลอดไปสักวันมันก็จะสูญเสียไปจากท่านอยู่ดี ดังนั้นผู้มีปัญญาจึงไม่ควรปรารถนา หรืออ้อนวอนเพื่อจะให้ได้ หรือเป็นอะไรเลย

เพียงแต่ว่า ท่านทำมันให้ดีที่สุด ต้องการจะได้อะไร ก็จงใช้สติคิดดูว่าทำอย่างไรจึงจะได้สิ่งนั้นมา ด้วยความบริสุทธิ์และถูกต้อง แล้วทดลองทำไปตามนั้น ถ้ามีเหตุปัจจัยที่จะได้ ท่านก็จะได้ของท่านเอง ถ้าไม่ได้ก็ให้มันแล้วไป อย่าไปเป็นทุกข์กับมัน

ถ้าทำอย่างนี้ได้ ท่านก็มีสิทธิ์ได้อะไรๆเหมือนเดิม และที่ดีกว่านั้นก็คือ ถึงแม้ท่านจะไม่ได้สิ่งนั้นๆ ท่านก็จะไม่เป็นทุกข์ หรือเมื่อได้มาแล้ว เกิดสูญเสียไป ท่านก็จะไม่เป็นทุกข์ ประโยชน์ของการปฎิบัติธรรม เพื่อการรู้เท่าทันสิ่งทั้งปวงนั้น มันดีอยู่อย่างนี้เอง คือมันจะไม่ทำให้ท่านเป็นทุกข์ในทุกกรณี

ดังนั้น จงฝึกใจให้สงบด้วยสมาธิ เพื่อจะเรียกปัญญาและความฉลาดของจิตให้เกิดขึ้น เพื่อจะเอาไปใช้แก้ปัญหา ด้วยการทำจิตให้ปล่อยวางอยู่เสมอ ในที่สุดความหลุดพ้อนจากความทุกข์ทั้งปวง ก็จะเกิดขึ้นอย่างถูกต้องได้ไม่ยาก

เวลาพบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ มันชวนให้ท่านโกรธ หรือเดือดร้อนใจขึ้นมา จงอย่าเพิ่งพูดอะไรออกไป จงอย่าเพิ่งทำอะไรลงไป จงคิดให้ได้ก่อนว่า นี่คือสิ่งที่เราทุกคนในโลกนี้ต่างไม่ปรารถนาที่จะพบเห็น แต่เราทุกคนต้องได้พบมัน สิ่งนี้คือสิ่งที่ท่านจะต้องเอาชนะมัน ด้วยการสลัดมันให้หลุดไปจากใจท่านก่อน ถ้าสลัดมันออกไปจากใจได้ ก็จะเป็นอิสระ และไม่เป็นทุกข์ เมื่อไม่เป็นทุกข์เพราะมัน ก็หมายความว่าท่านชนะมัน

เมื่อคิดได้ดังนั้น จนจิตมองเห็นสถาวะที่ใสสะอาดในตัวมันเองแล้ว จงหวนกลับไปคิดว่า เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ไม่กี่นาทีท่านจะรู้วิธีแก้ปัญหานั้นอย่างถูกต้องที่สุด และฉลาดเฉียบแหลมที่สุด โดยที่ท่านจะไม่เป็นทุกข์กับเรื่องนั้นเลย

เวลาที่พบกับความพลัดพรากสูญเสีย ก็จงหยุดจิตไว้อย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว และจงยอมรับว่า นี่คือสถาวะธรรมดาที่มีอยู่ในโลก มันเป็นของที่มีอยู่ในโลกนี้มานานแล้ว จะไปตื่นเต้นเสียอกเสียใจกับมันทำไม มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ไม่ต้องตื่นเต้น และจงคิดให้ได้ว่า ในที่สุดแล้ว ท่านก็ต้องพลัดพรากสูญเสีย แม้กระทั่งชีวิตท่านเอง

วิธีคิดอย่างนี้จะทำให้ไม่เป็นทุกข์เลย

เวลาประสบเรื่องไม่ดี จงอย่าคิดว่าทำไมถึงต้องเป็นเรา ทำไมเรื่องอย่างนี้ทำไมต้องเกิดขึ้นกับเรา เพราะยิ่งคิดเท่าไร ก็จะยิ่งเป็นทุกข์เท่านั้น ความคิดอย่างนี้ไม่ใช่วิธีแก้ไข จงคิดเสมอว่า ไม่เรื่องดีหรือเรื่องร้ายเท่านั้นแหละที่จะเกิดขึ้นกับเรา ไม่ต้องตื่นเต้นกับมัน ยอมรับมัน กล้าที่จะเผชิญกับมัน และทำให้จิตใจอยู่เหนือมัน ด้วยการไม่ยึดมั่นกับมัน และไม่ให้มันเป็นไปตามใจท่าน แล้วท่านจะไม่เป็นทุกข์

จงเฝ้าสังเกตความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอ ถ้าจะไม่สบายใจ จงหยุดคิดเรื่องนั้น ถ้าสบายใจอยู่ก็จงเตือนตัวเองว่า อย่าประมาท ระวังสิ่งที่จะทำให้เราไม่สบายใจจะเกิดขึ้นกับเรา ให้พร้อมรับมันอย่างนี้ ด้วยจิตที่เปิดกว้างอยู่เสมอ


จงรู้ความจริงว่า ทั้งความพอใจและความไม่พอใจ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ท่านจะต้องปลดเปลื้องออกจากใจ จิตจึงจะเป็นอิสระเสรีได้ถึงที่สุด


ถ้าเกิดความสงสัยอะไรสักอย่าง จงตอบตัวเองว่า อย่าเพิ่งสงสัยมันเลย จงทำจิตใจให้สงบ และเพ่งให้เห็นความสะอาดบริสุทธิ์ภายในจิตใจของตนเองอย่างชัดเจน และสรุปว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเข้าถึงสถาวะแห่งความสงบและเสรี ภายในจิตใจได้

ความรู้ชัดเจนในการรักษาจิตให้สงบ และสะอาดอยู่เสมอ คือสติปัญญาความรู้แจ้งตามความเป็นจริง ความทุกข์จะเกิดขึ้นในใจของท่านไม่ได้เลย

เมื่อถึงเวลาพักผ่อน จงเข้าสมาธ

หมายเลขบันทึก: 518503เขียนเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2013 11:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 ธันวาคม 2014 11:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ป่วยเพราะจิตที่คิดและยึดติดทุกข์ พบบทความนี้รู้สึกว่าดีมาก ยาวแต่ควรอ่านและหมั่นคิดเพียรปฏิบัติตามทั้งหมดค่ะ

ถ้าผิดท่านจะไม่ทำไม่พูด ถ้าถูกท่านจะทำจะพูด

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท