ทำงานด้านกิจการนิสิตมาร่วม 15 ปี
ปีล่าสุดผันตัวเองมาร่วมขับเคลื่อนกิจกรรม “1 หลักสูตร
1 ชุมชน”
เพื่อเติมศักยภาพตัวเองในมิติใหม่ๆ ภายใต้การทำงานร่วมกับชุมชน
อันเป็นกระบวนการที่ผมหลังรักและศรัทธาต่อการเรียนรู้ และนั่นยังรวมถึงการนำกิจกรรมนอกชั้นเรียน (กิจกรรมนอกหลักสูตร) เข้าสู่การเรียนการสอนในชั้นเรียน (กิจกรรมในหลักสูตร)
กรณีดังกล่าว เมื่อพิจารณาย้อนหลังไปร่วม 10 ปี ผมเคยบุกเบิกกิจกรรมนอกชั้นเรียนสู่ชุมชนอย่างชัดแจ้งในชื่อ “มมส ร่วมใจห่วงใยชุมชน” จนล่าสุดเมื่อปี 2553 กิจกรรมดังกล่าวเป็นที่รู้จักมากขึ้นในชื่อ “1 คณะ 1 หมู่บ้าน” และถัดจากนั้นมหาวิทยาลัยฯ ได้ประกาศนโยบายการบริการวิชาการแก่สังคมในชื่อ “1 คณะ 1 ชุมชน” และขยับมาสู่ “1 หลักสูตร 1 ชุมชน” ตามลำดับ
กิจกรรมนอกชั้นเรียนสู่การบริการวิชาการ “1 ชมรม 1 ชุมชน”
ในปี 2555 ถึงแม้ผมจะห่างเหินจากด้านกิจการนิสิต หรือพัฒนานิสิตอยู่มาก แต่ผมก็มิได้ละวาง “ความฝัน” ที่จะยกระดับกิจกรรมนอกหลักสูตรของนิสิตขึ้นเคียงบ่าเคียงไหล่ในเวทีเดียวกับกิจกรรมการบริการวิชาการแก่สังคมเลยแม้แต่สักนิด
ตรงกันข้ามกลับพยายามผลักดันให้เกิด “1 ชมรม 1 ชุมชน” ด้วยการสนับสนุนงบประมาณให้ชมรมต่างๆ ได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ร่มกับชุมชน ภายใต้แนวคิด “เรียนรู้คู่บริการ” จนสำเร็จ มีองค์กรนิสิตเข้าร่วมจำนวนกว่า 40 องค์กร
ภายใต้แนวคิดเช่นนั้น ผมเน้นกระบวนการเรียนรู้แบบ “มีส่วนร่วม” อันหมายถึงระหว่าง “นิสิตกับชุมชน” โดยใช้การจัดการความรู้ (KM) เป็นหัวใจ หรือกลไกในการขับเคลื่อนร่วมกัน ทั้งในมิตินิสิตกับนิสิต ชาวบ้านกับชาวบ้าน และระหว่างนิสิตกับชาวบ้าน ผ่านกิจกรรมแบบบูรณาการ เช่น นำศักยภาพของชมรมไปจัดกิจกรรมเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับชาวบ้าน (เรียนรู้คู่บริการ) มีการจัดเก็บข้อมูลชุมชน (ทุนทางสังคม) จัดทำเป็นรูปเล่มให้เป็นปัจจุบัน วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของทุนทางสังคม พร้อมๆ กับการเขียนเรื่องเล่าเร้าพลัง เพื่อบันทึกเป็น “จดหมายเหตุ” ขององค์กรว่า “นิสิตทำอะไร อย่างไร พบอะไร ได้อะไร สำเร็จ หรือล้มเหลวอย่างไร ...เกิดการเติบโต หรือเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างไร”
ครับ-ส่วนชุมชน ก็หนีไม่พ้นในการตั้งคำถามและหาคำตอบเช่นเดียวกับนิสิต เพียงแต่ ผม หรือแม้แต่นิสิต ถนอมท่าทีในการที่จะตั้งคำถามเช่นนั้นกับชุมชน –
กิจกรรมนอกชั้นเรียนสู่การเป็นงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น
ภายหลังการขับเคลื่อนกิจกรรม “1 ชมรม 1 ชุมชน” ครบวาระ บทเรียนหรือชุดบทเรียนบางอย่างแจ่มชัดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพของนิสิตและชุมชนแบบมีส่วนร่วมบนฐานวัฒนธรรมชุมชนรอบมหาวิทยาลัยฯ (เทศบาลตำบลขามเรียง อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม)
ด้วยเหตุนี้ผมจึงพยายามผลักดันกิจกรรมนอกหลักสูตรขององค์กรนิสิตสู่การเป็น “งานวิจัย” อย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นประเด็นของการค้นหารูปแบบการจัดกิจกรรมเรียนรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพของนิสิตและชุมชนบนฐานวัฒนธรรมชุมชนเป็นหัวใจหลัก เพื่อทำให้เห็นแนวทาง หรือวิธีการในการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล พร้อมๆ กับการพัฒนาให้นิสิตและชาวบ้านได้เป็นเสมือนนักวิจัยที่มีความรู้และทักษะในการพัฒนาท้องถิ่นร่วมกันผ่านกระบวนการของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ และการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม
โดยส่วนตัวแล้ว ผมศรัทธาต่อกระบวนการเรียนรู้เสมอ ไม่จำกัดเฉพาะแต่ “การวิจัย” เท่านั้น แต่การพยายามที่จะผลักดันให้กิจกรรมนอกชั้นเรียนของนิสิต (องค์กรนิสิต) ขึ้นสู่การเป็นงานบริการวิชาการ หรือแม้แต่การวิจัยเพื่อท้องถิ่นนั้น ผมมีเหตุผลมากมายก่ายกอง แต่ที่แน่ๆ ผมต้องการสื่อสารให้มหาวิทยาลัยได้รับรู้ว่าการงานของนิสิตนั้น มีพลังและมีคุณค่าไม่แพ้การบริการวิชาการของหลักสูตรในสาขาต่างๆ รวมถึงการเพียรพยายามยกระดับกิจกรรมนอกหลักสูตรของนิสิตสู่สาธารณะ โดยมีชุมชนเป็นฐานการเรียนรู้ที่มีชีวิต ชีวา -
และนั่นยังรวมถึงการเน้นย้ำให้เห็นถึงวาทกรรมที่ผมเขียนขึ้นว่า “เพราะมหาวิทยาลัยเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน” ซึ่งยืนยันในเจตนารมณ์ว่า “มหาวิทยาลัย/นิสิต ต้องเป็นที่พึ่งของสังคม ดูแลและพัฒนาสังคมด้วยกระบวนการแบบมีส่วนร่วม” ไม่ใช่ “หยิบยื่นให้แบบยัดเหยียด โดยไม่คำนึงถึงการพัฒนาคน เพราะเน้นการสงเคราะห์มากกว่าการเรียนรู้ร่วมกัน”
สรุป
ผมยังไม่รู้หรอกว่าการนำเสนองานวิจัยเพื่อท้องถิ่นครั้งนี้ ผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร
แต่เบื้องต้นผมถือว่าผมเดินทางมาได้ไกลมากแล้ว จากกิจกรรมนอกชั้นเรียนที่เป็นเสมือนเรื่อง “นอกสายตา” มาสู่การหยัดยืนในเวทีงาน “บริการวิชาการแก่สังคม” หรือแม้แต่ “1 คณะ 1 หมู่บ้าน”
ถูกขยายผลสู่การเป็น “1 ชมรม 1 ชุมชน” หากไม่รวมถึงระบบทรานสคริปกิจกรรม วิชาพัฒนานิสิต การถอดความรู้ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ถือว่าทั้งผมและกระบวนการที่ว่านั้นเดินทางมาไกลโข มีสถานะที่เป็นรูปธรรมไม่ใช่ย่อย
ส่วนจะสามารถเติบโตไปสู่การเป็นงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นหรือไม่
ยังต้องพิสูจน์และลงแรงกันอย่างยกใหญ่ !
แต่สำหรับนิสิตนั้น ผมเชื่อเหลือเกินว่าในห้วงเวลาที่ผ่านมา นิสิตได้เรียนรู้ "กระบวนการทำงาน" (ทักษะชีวิต) ในหลากมิติแล้ว อาทิ การจัดกิจกรรมกับชุมชนแบบมีส่วนร่วมภายใต้แนวคิด "เรียนรู้คู่บริการ" การทำงานเป็นทีม การบริหารจัดการโครงการ การจัดการความรู้ หรือแม้แต่เรื่อง "จิตอาสา" ของการเป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่น-ชุมชน อันเป็นแก่นสารหลักของปรัชญามหาวิทยาลัย (ผู้มีปัญญา พึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน) รวมถึงการตระหนักว่ามหาวิทยาลัย/นิสิต ต้องรับผิดชอบต่อสังคม (เพราะมหาวิทยาลัยเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน)
ระยะทางยังอีกไกลครับ -
แต่ใจ ก็ยังสู้ และต้องสู้
หมายเหตุ :
บันทึกนี้เขียนขึ้นในขณะรอนำเสนอโจทย์การวิจัย
14 มกราคม 2556
ณ ศูนย์ฝึกอบรมมูลนิธิ GRID
อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด
ขอให้มีกำลังกาย กำลังใจ บากบั่นต่อไป จนถึงก้าวที่สำเร็จนะคะ
ตามมาให้กำลังใจในการนำเสนองานวิจัยให้ผ่านไปได้ด้วยดี ขอชื่นชมการทำงานครับ
มาให้กำลังใจ ค่ะท่านอาจารย์
มาเป็นกำลังใจค่ะ ขอให้การนำเสนองานวิจัยผ่านนะคะ
มาชื่นชมค่ะ
หวังว่าคงจะด้ยินข่าวดีจากท่านอาจารย์มาเล่าสู่กันฟังนะคะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับ พี่Bright Lily
การพัฒนาโจทย์ครั้งแรก ให้นิสิตเป็นผู้นำเสนอ
มาคราวนี้ ให้แกนนำชาวบ้านเป็นผู้นำเสนอ
ส่วนผมทำหน้าที่หนุนเสริมอยู่ข้างๆ...
ได้เรียนรู้ และได้กำลังใจมากเลยทีเดียวจากเวทีที่ว่านี้...
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ อ.ขจิต ฝอยทอง
ตอนนี้มีการจัดตั้งกลุ่ม "ฮักแพงขามเรียง" ขึ้นแล้วครับ กลุ่มนี้จะมาเป็นนักวิจัยไทบ้านในโครงการที่ผมรับผิดชอบ เป็นความท้าทายอย่างมหาศาลเลยทีเดียวครับ-
สวัสดีครับ ครูทิพย์
จริงๆ ผมเองก็วางระบบไว้เป็นระยะชัดเจนครับ จากการผลักดันทรานสคริปกิจกรรม สู่วืชาเรียน และยกฐานะกิจกรรมนอกชั้นเรียนสู่การเป็นงานบริการวิชาการในมิติของนิสิต พร้อมๆ กับการปักธงสู่การวิจัย เพียงแต่เป็นโชคสองชั้นที่ได้มารับผิดชอบเรื่อง 1 หลักสูตร 1 ชุมชน พลอยให้งานที่ว่านี้ทะลุมาถึงการเป็นงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น...
มือใหม่ครับ แต่จะพยายามอย่างสุดกำลัง...
สวัสดีครับ คุณครู DALA
งานนี้ได้พี่เลี้ยงจาก ทีม สกว.ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่นที่เป็นโหนดมหาสารคามหนุนเสริมมาเป็นระยะๆ พลอยให้ได้แก่นสาร และจุดยืน รวมถึงพื้นที่ในการขายฝันผมคาดหวังว่า เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว น่าจะเป็นโมเดลหนึ่งในการนำไปใช้กับกระบวนการพัฒนานิสิต ทั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียน -
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ คุณ.ปริม ทัดบุปผา...
ชื่นชอบ ชื่นชม เชียร์ ๆๆๆๆๆ จ้ะ
ผมว่าการขยับบทบาทของนิสิตและชาวบ้านจากนักปฏิบัติ เริ่มเข้าสู่ด้านวิชาการ ถือเป็นการเติบโตอีกขั้นหนึ่งครับ ขอเป็นกำลังใจและเอาใจช่วยทุกฝ่ายครับ
สวัสดีครับ คุณมะเดื่อ
ขอบพระคุณที่แวะมาหนุนเสริมกำลังใจนะครับ
เรื่องเหล่านี้ ใช้พลังภายในอย่างมากมายก่ายกองเลยทีเดียว ครับ
มีความอยากที่จะวิจัยในเรื่องนี้ แต่ยังหาทางออกให้ความยากไม่เคยได้ การได้รับแนวทางหรือคำแนะนำที่ดีๆๆ อาจจะมีงานวิจัยจากฝีมือเรา กระบวนการวิจัยยังรอให้มีคนมาชี้แนวทางครับ
ขอบคุณครับ