เรื่องของเจดีย์ชเวดากอง กับทองบ้านเรา???


ช่วงนี่กำลังอินกับประเทศพม่า และรายการสารคดีที่พาไปเที่ยวพม่า ยอมรับว่าในบรรดาประเทศข้างเคียงบ้านเราอย่าง ลาว เวียดนาม กัมพูชา พม่านี่แหละ เป็นประเทศที่รู้สึกว่าไปแล้วอยากไปอีกที่สุด อยากไปๆเลยแหละ คิดว่าประเทศนี้ยังมีอะไรที่น่าค้นหาอีกเยอะ...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจดีย์ชเวดากอง ถือเป็นสุดยอดเจดีย์ที่ศักดิ์สิทธิ์และสวยงามมากแห่งหนึ่ง ทั้งทองเหลืองอร่ามที่หุ่มพระเจดีย์และเพชรพลอยต่างๆที่อยู่บนยอด อันเป็นที่มาของความเชื่อ( ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ไม่รู้?). ว่าทองที่หุ้มเจดีย์นั้น เป็ทองที่เกิดจากการที่พม่าไปเผาลอกมาจากอยุธยา ในสมัยที่เราเสียกรุงครั้งที่ 2 !!!

รู้สึกตลกทุกครั้งที่ได้ยินคนพูด และคอมเม้นต์ในเวบบอร์ดต่างๆ เวลาที่พูดถึงเจดีย์ชเวดากอง ว่าทองนั้นมาจากประเทศไทย... ทั้งๆที่ไม่หลักฐานยืนยันว่าเป็นความจริง อีกทั้งยังมีการพิสูจน์แล้วว่า ในสมัยที่พม่ารบชนะอยุธยา และเผาลอกทองมานั้น ไม่ได้มีการบูรณะพระเจดีย์แต่อย่างใด ดังนั้นความคิด ความเชื่อแบบนี้ จึงเป็นผลมาจากการเรียนประวัติศาสตร์แบบชาตินิยมที่เป็นอิทธิพลตกทอดของยุคการสร้างชาติ ที่บางคนก็ยังเชื่อแบบนี้ และหลงปลาบปลื้มดีใจกับความยิ่งใหญ่ที่ไทยเขียนเองคนเดียวในหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ไทย 

แต่หากลองได้เปิดหู เปิดตา เปิดใจ มองดูประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง ก็จะเห็นความยิ่งใหญ่และทรัพยากรธรรมชาติที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ บวกกับพลังศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ก็คงพอจะทำให้เชื่อได้ว่า พระเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่ บรรดาทองและเพชรนิลจินดาที่ประกอบขึ้นนั้น ล้วนมากจากศรัทธาของคนในชาติเค้าจริงๆ 

และก่อนที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเชียน สิ่งหนึ่งที่ควรทำก็คือ การลบลืมประวัติศาสตร์ชาตินิยม และความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับไทยและประเทศเพื่อนบ้าน การยอมรับความจริงจะทำให้เราไม่พลาดสิ่งที่เราควรจะต้องรู้ !!! 

พม่า เป็นประเทศที่น่าจับตา และมีการคำนวณว่าในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า เศรษฐกิจพม่าจะแซงหน้าประเทศไทย รวมถึงแรงงานไทยจะไหลเข้าสู่พม่าอีกด้วยสิ !!!

คำสำคัญ (Tags): #ชเวดากอง#พม่า
หมายเลขบันทึก: 514249เขียนเมื่อ 27 ธันวาคม 2012 14:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 ธันวาคม 2012 14:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

ประวัติศาสตร์ ความเชื่อ ถึงแม้จะไม่เป็นความจริงแต่ก็ยากที่จะลบออก อย่างเช่น เรื่องบั้งไฟพระยานาคจนความจริงเปิดเผยว่าที่มาของลูกไฟมาจากที่ได แต่ก็ไม่มีใครสามารถมาลบความเชื่อของคนในท้องถิ่นนั้นออกไปได้

เห็นด้วยครับ

ควรจะลบประวัติศาสตร์ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน

ก็โคตรพ่อแม่มรึงแปลพรรคแปลพวกเปนม่านงัยถึงไม่รักสมบัติของชาติ ยินดีให้เปนสมบัติของแผ่นดินอื่น แกมาเสียชาติเกิดนะ พ่อแม่มรึง

ฝ้ายยยยยยยยยยยยยย

เราต่อให้อีก20ปีเลยนะ ว่ายังไงพม่าก็ยังไม่แซงเราแน่นอน น่าจะหาข้อมูลให้มากกว่านี้หน่อยนะค่ะค่อยเขียน เพราะอะไรไปหาคำตอบดูนะค่ะ เอาง่ายๆอีก10ปีเราก็จะไปไหนๆเหมือนกันอันนี้เพราะอะไรก็ไปหาดูนะค่ะ

เรื่องชเวดากองนี่ยอมรับนะครับมันยังคาๆ ใจอยู่ เลยคิดว่าไปเที่ยวนี่จะยกมือไหว้ก็ไม่ค่อยจะสนิทใจเท่าไหร่ อีกอย่างเมืองไทยก็มีเจดีย์พระธาตุงามๆ อยู่ไม่น้อย อย่างพระธาตุดอยสุเทพฯ เป็นต้น ผมเป็นคนรุ่นเก่าโตมากับหนังสือเรียนจำพวกพม่าเผาไทย พม่าเป็นพวกโหดร้าย ชอบฆ่าฟัน เหมือนคนป่าเถื่อน มันก็ฝังใจ แก้ยาก ขนาดตอนไปเรียนต่อญี่ปุ่นเจอผู้หญิงคนนึงเขาหน้าตาแนวแขกๆ เข้มๆ แบบละติน เข้าไปคุยด้วยถามว่ามาจากไหน พอบอกมาจากพม่าแทบจะเลิกคุยเลย (ทั้งๆ ที่เขาก็ดูนิสัยดีนะ) มันมีผลต่อจิตใต้สำนึก จริงๆ นะ ขนาดไปอ่านจากในบล๊อกที่นึงเขาบอกคนพม่าส่วนใหญ่ชอบคนไทย อ่านแล้วยังรู้สึกขัดๆ เลยว่าจริงเหรอ ชอบนึกแต่ภาพทหารพม่าตามในหนังละครอยู่เรื่อย นี่ขนาดยุคสมัยและสภาพการณ์มันเปลี่ยนไปแล้วนะ

ช่วงนี้มาสนใจเรื่องประวัติศาสตร์พม่า ลุยอ่านหนังสือ นั่งดูเวบบล๊อกที่เกี่ยวกับการไปเที่ยวพม่า รู้สึกว่าน่าสนใจ มีอะไรแปลกๆ ที่น่าไปดูจริงๆ แต่พูดถึงว่าพม่าจะเจริญกว่าเราไหม ผมมองว่ายากเพราะปัจจัยการเมือง การเปิดเสรีรัฐบาลทหารเขาก็กลัวว่าพวกรัฐของชนต่างเผ่าเช่นมอญ ไทยใหญ่ จะได้ทีแยกตัว ซึ่งพวกนี้เขาก็อยากแยกตัวอยู่แล้วด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ แต่รัฐบาลทหารของพม่าก็ร้ายเหลือเกิน ถึงพม่าจะเปิดประเทศ แต่ด้วยโครงสร้างเช่นนี้ผมว่ายากที่ประชาชนของเขาจะได้ประโยชน์จริงๆ จังๆ อาจจะได้หน่อยนึงตรงมีคนมาเที่ยวเยอะขึ้น หากินกับนักท่องเที่ยว อีกอย่างรัฐบาลทหารของพม่าเป็นเผด็จการตามใจฉัน นึกจะสั่งอะไรก็สั่ง (ได้ยินว่าในเมืองๆ หนึ่งไม่มีมอไซด์ เพราะท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งนั่งๆ รถอยู่วันนึงเจอมอไซด์ปาดหน้า เลยสั่งห้ามไม่ให้มีมอไซด์ทั้งเมืองเลยวันรุ่งขึ้น) วันดีคืนดีอาจเกิดอยากปิดประเทศหรืออะไรก็ได้ รัฐบาลแบบนี้คงทำประเทศโดยรวมให้เจริญได้ยาก

ผมเลยบอกตรงๆ ว่า ไม่กล้าปักใจคิดว่าพม่าจะเจริญไปขนาดไหน และถึงจะเจริญขึ้น จะเป็นไปได้ยาวนานสักแค่ไหน เงื่อนไขก็คือรัฐบาลทหารกับเรื่องชนกลุ่มน้อยอยากแยกประเทศนี่หละ พวกฝรั่งนี่ก็ตอแหลมาก ปากว่าตาขยิบ ปากด่ารัฐบาลทหาร แต่ก็อยากเข้าไปเอี่ยวกอบโกยทรัพยากร ฝรั่งเป็นชนชาติที่เห็นแก่ตัวและเป็นสัตว์กินเนื้อ นักล่า โดยสันดาน อย่างซูจีผมก็ไม่เชื่อถือ เหมือนหุ่นเชิด ตัวละครพม่า เรียบจบอังกฤษ มีผัวฝรั่ง มีไว้เป็นตัวล่อให้คนที่เกลียดรัฐบาลทหารหรือหวังเสรีภาพลมๆ แล้งๆ ได้มีไอดอลหน่อยพอชื่นใจ เท่านั้นเอง ถามง่ายๆ ทำไมรู้ว่าเป็นหุ่นเชิด ถ้าซูจีคือศัตรูจริงรัฐบาลทหารพม่าทำไมไม่ฆ่าไปเสียหมดๆ เรื่อง ใช่ไหม? การเมืองมันเป็นเรื่องหลอกลวง หลอกประชาชนให้มีความหวังลมๆ แล้งๆ กันไป 

ในสมัยก่อนตอนเสียกรุง การเมืองการปกครองเริ่มเสื่อม ข้าวยากหมากแพง และเกิดปัจจัยหลายๆอย่าง เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้กับเมืองใหญ่อย่าง อโยธยา ประชากรก็มาก การปกครองก็ไม่ทั่วถึง มันก็เปรียบเทียบกับ กรุงเทพ ในสมัยนี้ผู้คน แข่งขัน ชิงดีชิงเด่น เห็นแก่ตัว

ละโมบโลภมาก จึงทำให้เสียกรุง อโยธยาไป อย่าคิดถึงตัวเองมากเกินไป แล้วไม่คิดหรอว่าจะมีหนอนบ่อนใส้ทำให้ชาติไทยเสียกรุง

และอีกอย่าง การเห็นแก่ตัว อะไรประมาณนี้ มันเป็นสันดาน มานานแสนนานของมนุษย์ ทำไมไม่คิดว่าคนไทยนี่แหละที่เผาทองของชาติแล้วไปขายให้เขา เพราะสังเกตุได้จากสังคมปัจจุบัน ครับ อย่านึกแค่ว่าเขามาทำเราให้นึกกว้างว่าเราทำตัวเอง ไม่งั้นก็คงไม่เกิดขบวนการขายชาต คนยุคใหม่ควรนึกไปข้างหน้าอย่านึกย้อนหลังประวัติศาสตร์ก็คือประวัติศาสตร์ นะครับ

สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ได้ปรากฏหลักฐานจากบันทึกการเดินทางของชาวต่างประเทศ เมื่อครั้งเดินทางมาเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา คือ ชาวโปรตุเกส ซึ่งเข้ามา ติดต่อค้าขายใน พ.ศ. ๒๐๕๔ ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ได้กล่าวไว้ว่า สินค้าออกของประเทศสยาม ได้แก่ ครั่ง กำยาน ไม้ฝาง ตะกั่ว เงิน ดีบุก ทองคำ และงาช้าง โดยชาวสยามนำภาชนะที่ทำด้วย ทองแดง ทองคำ และเครื่องประดับที่ทำจากเพชร และทับทิมไปขายด้วย ตลาดคู่ค้าที่สำคัญคือ จีน มะละกา กัมพูชา เบงกอล ในบันทึกยังกล่าวต่อไปอีกว่า พระเจ้าแผ่นดินสยามส่งผู้แทนพระองค์ไปพบอัลฟองโซ เดอ- อัลบูร์เกอร์กี ผู้สำเร็จราชการโปรตุเกส ที่เมืองมะละกา และได้พระราชทานขันทองคำ สำหรับดื่มเหล้า และดาบทองคำ เพื่อขอความสนับสนุนช่วยเจรจาให้รัฐบาลโปรตุเกสคืนเมืองมะละกาให้แก่กรุงศรีอยุธยา จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงมอบเครื่องบรรณาการ ของขวัญ ของกำนัล โดยนิยมใช้ทองคำที่ประดิษฐ์ เป็นงานศิลปะชั้นสูง ในการแลกเปลี่ยนพระ-ราชศุภอักษรสาส์น หรือพระสุพรรณบัฏกับกษัตริย์ต่างประเทศ
เมอซิเออร์ เดอลาลูแบร์ อัครราชทูตชาวฝรั่งเศส ซึ่งเดินทางเข้ามาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กล่าวไว้ว่า ชาวสยามถลุงแร่ทองคำได้มาก เพื่อนำมาประดับพระพุทธรูปซึ่งสร้างขึ้นเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังนำไปประดับเป็นส่วน- ประกอบของโบสถ์ วิหาร วัดวาอารามต่างๆ เช่น ประดับช่อฟ้า ใบระกา เพดาน หน้าบัน ด้วยการลงรักปิดทองลงลวดลายต่างๆ และกล่าวอีกว่า ชาวสยามเป็นช่างทองที่มีฝีมือ และรู้จักนำทองคำมาตีแผ่เป็นแผ่นบาง เมื่อพระเจ้ากรุงสยามมีพระราชสาส์นไปยังกษัตริย์พระองค์อื่น พระองค์โปรดให้จารึกข้อความศุภอักษรลงในพระสุพรรณบัฏซึ่งบางเหมือนกระดาษ นอกจากนี้ ยังโปรดให้ทำจานทองคำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับใส่ผลไม้ เมื่อครั้งพระราชทานเลี้ยงแก่เมอซิเออร์ เดอ โชมองต์ แสดงให้เห็นว่า

ทองคำของพระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยาคงจะมีอยู่มากโดยมีที่มาดังนี้

๑. ได้จากการเก็บส่วย

ในสมัยอยุธยา มีระบบการเก็บส่วยซึ่งเป็นภาษีที่เก็บจากประชาชนในท้องถิ่น โดยในบางกรณีส่วยที่เรียกเก็บนั้นต้องจ่ายเป็นทองคำ เช่น ส่วยที่เรียกเก็บจากเมืองบางสะพาน ในส่วนของราษฎรที่ร่อนทองได้ ก็ต้องส่งส่วยภาษีเป็นทองคำเช่นกัน

๒. ได้จากการเกณฑ์กรณีพิเศษ

ได้จากการเกณฑ์กรณีพิเศษ เป็นการรวบรวมทรัพย์สินเงินทองเพื่อทำ กิจกรรมสำคัญ เช่น การร่วมกันสร้างศาสนสถาน การหล่อพระพุทธรูป การสร้างเจดีย์ การเรี่ยไรบริจาคจากข้าราชบริพาร ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และราษฏรทั่วไป ตามกำลังฐานะและแรงศรัทธา

๓. ได้จากการค้าขายแลกเปลี่ยน

จากบันทึกของนักเดินทางชาวยุโรป ระบุว่า กรุงศรีอยุธยาเป็นตลาดค้าขายทองคำ ซึ่ง พ่อค้านำเข้ามาจากต่างประเทศ คือ ชวา สุมาตรา มลายู อาหรับ เปอร์เซีย และจีน กรุงศรีอยุธยาอาจนำทองคำที่ขุดหาได้ออกขายเพื่อแลกเปลี่ยนกับสินค้าอื่น การค้าขาย ในสมัยอยุธยาจึงมีบทบาทมากต่อการแสวงหาทองคำมาใช้ประโยชน์ เพื่อตอบสนองค่านิยมของสังคม

๔. ได้จากเครื่องราชบรรณาการ

ได้จากเครื่องราชบรรณาการ ธรรมเนียมประเพณีของหัวเมืองขึ้นและประเทศราช ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการเป็นต้นไม้เงินต้นไม้ทองให้แก่กรุงศรีอยุธยาทุก ๆ ๓ ปี เพื่อแสดงว่า ยอมสวามิภักดิ์หรือยอมอยู่ใต้อำนาจ ทำให้มีทองคำนำเข้าสู่ท้องพระคลัง และนำไปแปรรูปเป็นเครื่อง-ราชูปโภคต่าง ๆ

๕. ได้จากการนำ หรือการริบจากเอกชนเข้าเป็นของหลวง

มีหลายกรณี เช่น ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดกระทำความผิดร้ายแรงต้องโทษ ประหารชีวิต ยังจะต้องริบทรัพย์สินทุกอย่าง เข้าหลวง ที่เรียกว่า พัทธยา หรือเรียกคืนเครื่องยศต่างๆที่ทำจากทองคำ เมื่อขุนนาง ผู้มีบรรดาศักดิ์ผู้นั้นสิ้นชีวิตแล้ว รวมทั้ง การยึดทรัพย์สินมีค่าจากศัตรูคู่สงคราม

ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีเหตุการณ์ต่างๆที่แสดงถึงการใช้ทองคำเป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อมากลายเป็นธรรมเนียมประเพณีของไทยในระยะหลัง ตัวอย่างเช่น ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ได้โปรด ให้หล่อพระพุทธรูปนามว่า “ศรีสรรเพชญ์” ประดิษฐานไว้ในพระวิหารหลวง วัดพระศรี-สรรเพชญ์ ขนาดสูงจากพระบาทถึงยอดพระรัศมี ๘ วา พระพักตร์ยาว ๔ ศอก และกว้าง ๓ ศอก พระอุระกว้าง ๑๑ ศอก ทองสำริดที่ใช้หล่อหนัก ๕๓,๐๐๐ ชั่ง ทองคำหุ้มหนัก ๒๘๖ ชั่ง หรือ ๑๗๑.๖ กิโลกรัม ข้างหน้าเป็นทองเนื้อเจ็ด ข้างหลังเป็นทองเนื้อหกรวมทั้ง การยึดทรัพย์สินมีค่าจากศัตรูคู่สงคราม
ในส่วนของสามัญชน ก็มีตลาดค้าขายทอง มีช่างทำทองรูปพรรณอยู่ทั่วไป หากมี การค้าขายทองและมีช่างทองอยู่กันอย่างหนา แน่นเป็นย่าน ก็มีชื่อเรียกขานเป็นที่รู้จัก เช่น ย่านป่าทองขายทองคำเปลว ย่านวัดกระชีช่าง ทำพระพุทธรูปทองคำ การทำทองรูปพรรณในสมัยอยุธยาช่างทองมีวิธีการทำคล้ายกับ ช่างทองโบราณสุโขทัย แต่อาจแตกต่างกันไปบ้าง วิธีการเหล่านี้นิยมทำกันจนช่างทองสมัยอยุธยามีชื่อเสียงมาก

ถ้าหากย้อนอดีตไปได้สมัยนั้นบ้านเมือง วัดวาอารามคงอร่ามไปด้วยทองอย่างที่เคยปรากฏในบันทึกของชาวต่างชาติที่ในอดีต พูดถึงสยามในอดีตว่าอร่ามไปด้วยทอง เสียดายที่ทองเหล่านั้นไม่มีอยู่ต่อไปอีกแล้ว ไม่งั้นบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์จังหวัดพระนครศรีอยุธยาคงได้ขึ้นชื่อเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแน่นอน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท