โครงการรับจำนำข้าวจะทำให้ชาวนารายย่อยของไทยยากจนลงในระยะยาว
โครงการรับจำนำข้าวจะทำให้ชาวนารายย่อยของไทยยากจนลงในระยะยาว เพราะ
1. เบี่ยงเบนวิธีคิดที่ถูกต้อง จากกำไรสุทธิในการทำนา ไปหมกมุ่นกับราคาขาย ทำให้ลืมทำนาแบบลดต้นทุน ซึ่งก็คือการทำนาแบบปลอดสารเคมี
2. ทำให้ไม่มุ่งผลิตข้าวคุณภาพสูง เพราะหลงคิดว่าตัวกำหนดเงินที่ได้รับ คือน้ำหนักข้าวเปลือก
3. จริงๆ แล้ว ชาวนารายย่อยขายข้าวได้ราคาต่ำกว่าที่รัฐบาลประกาศมาก เพราะโรงสีที่รับซื้อจะหักโน่นหักนี่ เช่น แทนที่จะขายได้ตันละ ๑๕,๐๐๐ ก็ขายได้เพียง ๙,๐๐๐ ผู้ได้เงินในราคาเต็มคือโรงสีที่ฮั้วกับพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาล
4. ในระยะยาว ชื่อเสียงของคุณภาพข้าวไทยในตลาดโลกจะตกต่ำ ผู้ถูกกระทบมากที่สุดคือชาวนารายย่อย
ผมเอาข้อมูลจากนักวิชาการมาทำให้ง่ายเพื่อบอกสังคมไทย ไม่ทราบว่าผมตีความถูกต้องหรือไม่
วิจารณ์ พานิช
๒๒ ธ.ค. ๕๕
แล้าจะลืม .... เศรษฐกิจพอเพียง .... พออยู่ ...พอกิน ... มีเหลือใช้ก็แจกจ่าย ขายบ้าง .... ถ้ามองเป็นราคาๆๆ ก็จะผิดไปจากทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง .... นะคะท่่าน อจ.หมอ
อาจารย์ยังไม่ได้กล่าวถึงผลกระทบทางด้านสภาพแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคอันเนื่องมาจากการทุ่มใช้สารเคมีอันตรายต่าง ๆ ทุกชนิดที่จะทำให้ได้ผลผลิตมากขึ้น เพราะคิดว่ายังไงก็คุ้ม
ฟังจากอาจารย์เดชา ศิริภัทรบอกว่าต้นทุนการผลิตข้าวเปลือกของไทยโดยเฉลี่ยอยู่ที่ตันละ 7,000 บาท ในขณะที่เพื่อนบ้านต้นทุนไม่ถึงครึ่งของจำนวนนี้ ถ้ารัฐบาลไม่รับ"จำนำ"ต่อไปชาวนาไทยส่วนใหญ่ก็จะลำบากและน่าเป็นห่วงมาก และต่อไปก็จะกระทบต่อสังคมทั้งระบบ
การสร้างนิสัยไม่ดีให้คนทำนา ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของประเทศ ก็คือ การทำลายประเทศอย่างสิ้นซากค่ะ กว่าจะกู้นิสัยดีๆ กลับมา ก็คงใช้เวลาอีกนาน การมองโลกบนความดีและความจริงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับความอยู่รอดของสังคมมนุษย์ค่ะ
เห็นด้วยกับอาจารย์ครับโดยเฉพาะเรื่องแรก คือ การเอาข้อมูลมาทำให้ง่ายเพื่อบอกสังคมไทย เรื่องนี้สลับซับซ้อน คล้ายกับเรื่องน้ำมันและก๊าซ
เรื่องที่สอง จากประสบการณ์ของมูลนิธิธนาคารข้าวเพื่อประชาไทย ที่ผมคลุกคลีอยู่ทำให้ทราบว่า สิ่งที่ชาวนาปรารถนาที่สุดคือ ความยุติธรรมในกระบวนการรับซื้อข้าว มากกว่าเรื่องของราคา แน่นอนขายข้าวได้ราคาชาวนาต้องชอบ แต่ในกระบวนการรับซื้อข้าวระหว่างโรงสีและชาวนานั้น ชาวนาได้แต่ทำตาปริบๆ หรือบางครั้งก็กลืนเลือดลงท้องไป ขนข้าวมาถึงโรงสี ยังไงเสียก็ต้องขาย ไม่มีทางเลือก ดั่งสุภาษิตที่ชอบยกมาในกรณีนี้ว่า “ผีมาถึงป่าช้า ยังไงก็ต้องเผา”
ชาวนาถูกเอารัดเอาเปรียบใน ๔ ประเด็นเป็นอย่างน้อยคือ
๑.การหักค่าความชื้นเกินจริง
๒.การพิจารณาสิ่งปลอมปนในข้าวเปลือกที่ไม่ได้มาตรฐาน
๓.การชั่งน้ำหนักที่ไม่ได้มาตรฐาน และ
๔.การพิจารณาคุณภาพ(พันธุ์)ข้าวเปลือกตามใจชอบของผู้รับซื้อ
เรื่องหักค่าความชื้นเป็นนิยายเก่าแก่ ที่เล่ากันมาตลอด เราได้ยินกันมาตลอด เหมือนๆกับเรื่องสิ่งเจือปน และการโกงตาชั่งซื่งใช้เศษโลหะชิ้นไม่ต้องใหญ่นัก ไปเบี่ยเบนกลไกตาชั่ง น้ำหนักก็เพี้ยนไปมากแล้ว ที่กล่าวมานี้แม้ไม่ได้เห็นกับตาตนเอง แต่เสียงที่ชาวนาพูดถึงทุกที่สอดรับคล้ายกันหมด
แต่ประเด็นที่ ๔ นี่ซิครับ ฟังแล้วขำ แต่ก็ขำไม่ออก เพราะไม่ว่าข้าวที่โรงสีรับซื้อต่างคุณภาพต่างราคานั้น ท้ายที่สุดก็ถูกเทกองรวมกันเป็นกองเดียว ราวกับว่าทั้งหมดคุณภาพเดียวกัน
เขียนมาอย่างนี้ผมตั้งจะจะเอาความเห็นไปแสดงไว้บนหน้าเฟสบุ๊คของตัวเองด้วย หากถูก Like & Share ไปเรื่อยๆ ก็คงจะถึงหูสมาคมโรงสีฯเข้า เรื่องข้างบนดูเหมือนจะกล่าวหาโรงสีอยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งไม่เป็นธรรม เรื่องนี้ยังมีผู้เกี่ยวข้องอีกหลายฝ่าย แต่ที่ยกโรงสีขึ้นมาเพราะนั่นคือรอยต่อที่สำคัญระหว่างชาวนา กับกระบวนการหลังการเก็บเกี่ยวทั้งหมดไปจนถึงผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ
สรุป สิ่งที่ชาวนาปรารถนาที่สุดคือ เวลาซื้อข้าวเปลือกอย่าโกงกันได้ไหม