"...ชีวิตมนุษย์นั้นช่างเล็กน้อยเสียเหลือเกิน...เมื่อเทียบเคียงกับโลกแห่งธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ไพศาล...
ชีวิตมนุษย์แต่ละชีวิต เป็นสิ่งเล็กๆ ที่ซุกแทรกอยู่โลกแห่งธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่...
ชีวิตมนุษย์แต่ละชีวิต เป็นปรากฏการณ์ช่วงสั้นๆ เมื่อเทียบเคียงกับห้วงเวลาที่โลกแห่งธรรมชาตินี้ปรากฏอยู่...
ไม่ว่าจะเล็กน้อยสักเพียงใด แต่มนุษย์นั้นก็แสนงดงาม สายใยแห่งมิตรภาพ...
ได้ยึดโยงให้ชีวิตมนุษย์แต่ละชีวิต...
ผูกพันกันด้วยสายใยแห่งมิตรภาพ (ความรัก) นั้น....
...............................................
ถ้อยคำข้างบน..ผมไม่ได้เขียนเองหรอกครับ...ผมเอามาจากหนังสือหน้า 123
หนังสือเล่มนั้นชื่อ..."เดินสู่อิสรภาพ"...ของท่านอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์...เล่มที่อยู่ในมือของผม พิมพ์ครั้งที่ 15
ผมเคยมีหนังสือเล่มนี้ครับ...แต่ผมได้มอบให้ห้องสมุดแถวบ้านไปแล้วครับ...
เมื่อผมเดินทางมากรุงเทพฯ...ครั้งนี้...ผมเข้าห้องสมุด เห็นหนังสือเล่มนี้....ผมจึงขอยืมจากบรรณารักษ์
ทุกครั้งเวลา 18.00 น. ของทุกวัน...ผมต้องนั่งรถเมล์...เพื่อกลับที่พัก...อยู่บนนั้นเกือบหนึ่งชั่วโมง...
แต่เมื่อนั่งอ่านหนังสือเล่มนี้...
ความเหงา..ความกลัว...ความห่วง....ความหวาดหวั่น...ที่เกิดขึ้นในใจทุกครั้งเมื่อเดินทางและห่างจากบ้าน
ได้มลายไปจากใจของผมด้วยเช่นกัน
บางประโยคอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก...แล้วความอิ่มเอมก็ยังเกิดขึ้นในใจของผม...
ต้องขอบคุณหนังสือเล่มนี้..ที่อ่านครั้งใด...ต้องอ่านจบหมดเล่มทุกครา
................................................
วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2555...
เพียงไม่กี่ชั่วโมง...ก่อนหน้านั้นไม่มากเลย..ที่จะขึ้นรถทัวร์มากรุงเทพฯ...
ผม ภรรยา และลูกชาย ตื่นตั้งแต่ตีห้า...เพื่อเตรียมตัวทำโรงทานที่วัด...ที่มีพิธีกรรมทางศาสนามากมาย
ผมต้องตื่นก่อนหน้านั้น..เพราะผมมานอนกับแม่...
แม่ที่เื่มื่อวาน..."ฝันร้าย"...ผมจึงมานอนเปป็นเพื่อน..และเป็นเครื่องดักฝันร้ายให้แม่...
ผู้คนมารับอาหารของครอบครัวมากมาย...จนเตรียมอาหารไม่ทัน...
ไก่ทอด...ลูกชิ้น...เกี้ยว...ได้หมดลงฉับพลัน..เมื่อวางบนโต๊ะ...
พวกเราสุขใจมาก...ที่ทุกคนมีความสุขและอิ่มหนำสำราญกับอาหารของพวกเรา
เพียงรอยยิ้ม..คำขอบคุณ...คำอวยพร...จากผู้รับ...ทำให้เราที่เป็นผู้ให็มีความสุขเหลือเกิน...
ญาติธรรม...ที่เคยรู้จักกัน...และไม่รู้จักกันมาก่อน...เห็นพวกเรายุ่งๆ
ก็ตักอาหารและเครื่องดื่มมาบริการให้เรามากมาย...
สายธารแห่งมิตรภาพไม่เคยเหือดหายจากสายธรรม
...............................................
มีหลายคนบอกว่า..."ครอบครัวของผมเป็นมหาเศรษฐี"
ผมนึกแย้งในใจว่า..ผมและภรรยามีเงิน รวมกันไม่ถึงห้าหมื่นบาทต่อเดือน เป็นเศรษฐีแล้วหรือ...
หลายคนเหล่านั้นเฉลยว่า ..."พระพุทธเจ้าตรัสไว้...มีเพียงมหาเศรษฐีเท่านั้น ที่ทำโรงทานแจกจ่ายให้คนทั่วไป.."
ผมเลยขอบคุณท่านทั้งหลาย...และยอมรับว่า..."ผมคือมหาเศรษฐีครับ"
เพราะครอบครัวของผมชอบทำโรงทานจังเลยครับ
ทำแล้วสุขใจกับการให้ครับ...
................................................
การมีชีวิตอยู่เพื่อเป้าหมายคือเงินเดือนนั้น...
บางครั้งก็เป็นโทษต่อการมีชีวิตอยู่...
เงินเดือนไม่ใช่สิ่งเลวร้ายฃแต่การอดทนมีชีวิตอยู่เพื่อเงินเดือนนั้น
บางครั้งก็เผลอไผลไม่รอบรอบทำให้รู้สึกว่า
เงินตราเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการมีชีวิตอยู่ฃความรู้สึกว่าเงินตราเป็นสิ่งสำคัญ
เพำราะมันคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
จะทำให้คุณค่าและความหมายต่างๆ ไปรวมศูนย์ที่เงินตรา
และเมื่อใดที่ใครรู้สึกเช่นนั้น
เขาก็จะสูญเสียโอกาสที่จะได้สัมผัสรู้ความหมายและคุณค่า
อันงดงามที่มีอยู่ในสิ่งต่างๆ รอบตัว..
(ประมวล เพ็งจันทร์. 2554. เดินสู่อิสรภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 15. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สุขภาพใจ. หน้า 121-122.)
เมืองไทยยินดีกับการให้ทาน
จึงไม่อดอยากเท่าใดนัก
เพราะผลบุยเกื้อหนุน ท่านจึงไม่ขาดแคลนสิ่งใด
อนุโมทนาบุญ และขอให้กำลังใจคุณแม่ค่ะ