สุรินธร
นางสาว สุรินธร นาคคุ้ม (อ๊อพ บ้านแพ้ว)

คำว่า พ่อ เรารู้จักคำนั้นดีจริงหรือยัง


          ถ้าเอ่ยชื่อนายเทอดศักดิ์  นาคคุ้ม   หรือ เทอดศักดิ์  ณ  บ้านสวน  หลายคนก็คง ใครเหรอ  แต่พอบอกว่า ลุงทอด งัย ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อ๋อ ลุงแกใจดี มีน้ำใจ น่ารัก ใจบุญ อารมณ์ดี หัวเราะเก่ง ไปทางไหนก็มีแต่เสียงเยินยอ สรรเสริญ ฉันเองก็เคยได้ยินแบบนี้บ่อยครั้งตั้งแต่เล็กจนโต แล้วฉันก็บอกเหมือนกับใครอีกหลาย ๆ คน ว่าจริงด้วย ลุงทอดที่เขาพูดถึงกันน่ารักจริง ๆ ด้วย ใจก็ดี  ใครขออะไรให้ได้ถ้าไม่มากมายเกินกำลังของแกก็ให้เขาโดยไม่บ่น  แกมักจะพูดว่าอะไรถ้าเป็นของเรามันก็เป็นของเราวันยังค่ำให้มันไปอยู่ตรงไหนมันก็เป็นของเรา  สมบัติพ่อแม่ใครให้เท่าไหร่แกก็เอาเท่านั้น  ไม่ให้เลยแกก็บอกว่าไม่เป็นไร  เพราะแกบอกว่าแกไม่ได้ทำมาทั้งหมด เขาให้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น พ่อแม่ไม่ให้เลยก็ได้  ที่เขาให้ก็ถือว่าเขามีบุญคุณมากมายแล้ว เราก็บอกว่า ก็จริงเนอะ แต่ก็มีคำถามในใจว่า ทำไมลุงทอดคนเนี้ย เขาถึงพูดแบบนี้เขาไม่อยากสบายเหมือนคนอื่น ๆ เหรอ ทำไมเขาไม่เอาล่ะในเมื่อเขาก็มีเมีย มีลูก ทำไมเขาไม่คิดจะเอาไว้ให้ลูกล่ะ แต่ทุกครั้งลุงทอดคนนี้ก็จะมีคำตอบที่ดี ๆ กลับมาให้เสมอว่าเพราะอะไร แล้วเราก็ได้แต่บอกตัวเองว่า จริงด้วยเนอะ  และทุกครั้งลุงทอดคนนี้จะเฝ้าสอนเราตลอดมาว่า เงิน 1 บาทมีค่ามากกว่าเงิน  100  บาท  เพราะว่าเงิน 100  บาท พอเอาออกจากกระเป๋าตังค์แล้ว มันเอาคืนยาก  แต่เงิน 1 บาท เราไม่ค่อยเอาออกไปใช้ แต่ถ้าเราไม่ใช้เพราะอายเขา เราก็เอามันมาหยอดกระปุกดูดิ วันหนึ่งน่ะมันจะมีค่ามากกว่าเงิน 100  บาทที่อยู่ในกระเป๋าเราอีก  แล้วเขาก็บอกถ้าอยากมีเงินเก็บ ก่อนออกจากบ้านเราต้องออกไปใช้ตังค์อีกมากมายเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่ถ้าเรามีเหรียญบาทที่หยอดไว้ที่บ้านอยู่แล้ว ทุกวัน ทุกวัน เราก็จะมีเงินเก็บ  เราก็ลองทำดู ก็ได้คำตอบว่า จริงอีกแหละ  ก็น่าแปลกทุก ๆ คำถาม  ทุก ๆ คำตอบ  ทุก ๆ กำลังใจ มักจะมีมากับคนชื่อลุงทอดคนนี้ตลอดเวลา

          แต่แล้ววันหนึ่งที่ลุงทอดล้มป่วยลง เพราะโรคเบาหวาน  และเกิดอุบัติเหตุล้มภายในห้องน้ำที่บ้าน  ทำให้จำใครไม่ได้ จำได้คนเดียว คือ เมียเท่านั้น  เดินไม่ได้  ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  เสียงหัวเราะได้หายไป มีแต่ความเงียบเข้ามาแทนที่ จะมีเสียงหัวเราะบ้างก็เพียงบางครั้ง  พอแกเริ่มจำได้ แกจะพูดแต่ว่าคนนั้นมาหา คนนี้มาหา  ทุกคนที่พูดถึงล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว  ทุกคนรอบข้างเริ่มทำใจ ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้่วทุกคนก็ได้แต่บอกแกว่าไม่มีหรอก เขากลับไปกันหมดแล้ว พยายามกันอยู่นาน  หมอที่ไหนว่าดี ก็พาไป สุดท้ายความพยายามช่วยกันก็เป็นผล เมื่อมีคนแนะนำให้พาไปหาหมอที่ ราชบุรี ซึ่งเป็นหมอที่รักษาแผนแพทย์ไทย รักษาโดยใช้ยาสมุนไพร แนะนำว่าไม่ให้กินอะไร ไม่ให้ทำอะไร ทุกคนต่างก็ช่วยกัน แต่หมอบอกว่าถ้าหายแล้วไม่ต้องมาให้อะไรหมอหรอก แค่ทำผ้าป่าที่ไหนก็ได้ให้กับเจ้าของยาเขา แค่นั้นก็พอ  แต่แล้วก็เหมือนปาฎิหารย์ ไม่นาน ลุงทอดของทุก ๆ คนก็เรื่มกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง โดยลุงทอดไม่ได้ทำตัวให้เป็นภาระของใคร ๆ พยายามช่วยตัวเองทุกอย่างจากคนเดินไม่ได้ ก็เดินได้ถึงแม้จะเร็วมาก แต่ก็ช่วยเหลือตัวเองได้ กินข้าวได้  เข้าห้องน้ำเองได้ ทำทุกอย่างได้เองหมด  ที่นี้ละก็เสียงหัวเราะก็ค่อย ๆ กลับมา ที่นี้เราก็พาแกออกไปเที่ยวข้างนอกทุกที่ไม่ว่าจะเป็น วัด ทะเล ร้านอาหาร สถานที่ต่าง ๆ ที่ทุกคนไป แกก็ต้องได้ไป พร้อมกับรถคู่ชีพของแก คือ วีลแชร์ แต่แกก็ไม่นั่งตลอดถ้าแกไหว ทุกคนก็ได้แต่บอกเก่งน่ะเนี่ย

         แต่แล้ววันหนึ่ง ผ่านมาหลายเดือน มีเสียงโทรศัพท์เข้าไปหา ตอนนั้นทำงานอยู่ที่ กศน.อำเภอบ้านแพ้ว  จำได้ว่าเสียงนั่นคือ เสียงเมียลุงทอดบอกว่าให้กลับบ้านด่วน  พอกลับมาเห็นลุงทอดนอนอยู่เหมือนจะไม่ไหว ทุกคนร้องไห้ หันไปทางไหนก็ร้องไห้กัน  แต่เราคิดว่าวันนี้เราจะไม่ร้องไห้ และไม่จะไม่มีวันเป็นจริง เราไปถึงลุงทอดถอดของออกจากตัว ไม่ว่าจะเป็นสร้อย แหวน บอกว่าให้เก็บไว้ให้ดี ทุกอย่างที่ให้มีแต่ของดี ๆ ที่รักทั้งนั้น เราบอกว่าไม่เอาหรอก ลุงทอดก็งง ๆ ถามว่าทำไม เราบอกว่าให้เก็บไว้เหมือนเดิมเพราะเราไม่เอา ยังงัยก็ต้องอยู่ด้วยกันอยู่ดีจะให้ทำไม แล้วเราก็เลยพูดจาออกไปหนึ่งประโยคว่า  "อย่ามาทำเห็นแก่ตัวแบบนี้ บ้านหลังนี้หนูซื้อให้พ่อ หนูยอมเป็นหนี้เพื่อที่จะซื้อบ้านหลังนี้ให้พ่อกับแม่อยู่ ฉะนั้นพ่อจะไปไหนไม่ได้ พ่อต้องอยู่"  พ่อหรือที่หลายคน เรียกว่าลุงทอด ถ้าไม่ไหว นอนพักน่ะ หนูจะอยู่กับพ่อเดี๋ยวตื่นมาพ่อก็จะดีขึ้น  แล้วหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง พ่อ หรือลุงทอดของทุกคนก็ตื่นขึ้น  พร้อมกับความน่ารักเหมือนเดิม  มันต้องอย่างนี้ซิ  

          แต่แล้วหลังจากนั้นมาอีกไม่กี่เดือน วันที่ 11 กรกฎาคม  2552  เวลา  สองทุ่มกว่า  ณ  โรงพยาบาลสมุทรสาคร  เป็นวันที่่จดจำมาตลอด ซึ่งอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเป็นวันเกิดของพ่อ และวันเกิดของเรา วันที่  12  กรกฎาคม  พ่อมักจะบอกกับเราและคนอื่น ๆ เสมอว่า เกิดวันเดียวกับลูกสาว คือเกิดวันพุธ กลางคืน  เดือนกรกฎาคม  แต่พ่อจำไม่ได้ว่าเกิดวันไหน พ่อมักจะบอกเสมอว่าพ่อเกิดวันเดียวกับเรา พ่อลูกกันเกิดวันเดียวกันแหละ  ตั้งแต่โตมาพ่อพูดมาตลอดว่าเราเกิดวันเดียวกันน่ะ แล้วปี 2552  เราก็สัญญากันในวันที่  10  กรกฎาคม 2552  ว่า เดี๋ยววันที่  12  กรกฎาคม  เราซื้อเค้กมาเป่ากันเนอะที่โรงพยาบาลก็ได้ พ่อก็บอกว่าได้ แต่แล้วตลอดเวลาตั้งแต่เล็กจนโต พ่อไม่เคยโกหกเราเลย แต่ทำไมปีนี้พ่อถึงโกหก และไม่ทำตามคำพูด ที่สัญญากันไว้ อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองทำไมพ่อไม่รักษาสัญญา ทำไม ๆ เราเฝ้าถามตัวเองตลอดเวลาจนถึงทุกวันนี้ แต่เราเองต่างหากกลับลืมไปว่าเราเองต่างหากที่บอกว่าถ้าพ่อไม่ไหวเราก็ไม่อยากยื้อพ่อให้เจ็บอีกต่อไป เราเลยมานั่งทบทวนว่า เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2552 เราเห็นพ่อเจ็บปวด เพราะว่าไตไม่ทำงาน แต่เราไม่สามารถช่วยอะไรได้ สิ่งเดียวที่เราช่วยได้คือยกมือท่วมหัวแล้วบอกออกมาว่า บุญกุศลใด ๆ ที่ลูกได้เคยสร้างเคยทำมาทั้งหมดไม่ว่าเมื่อไหร่ ขอยกให้พ่อเทอดศักดิ์  นาคคุ้ม ทั้งหมด ถ้าวันนี้พ่ออยู่แล้วทรมานก็ขอให้พ่อไปให้สบายที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่เจ็บปวดและทรมานอีกต่อไป นี่คือสิ่งเดียวที่ลูกจะให้พ่อได้ในครั้งสุดท้าย และตั้งแต่นั้นมา ทุกวันที่  12  ของทุกปีเราเองก็ไม่เคยปรารถนาที่อยากจะได้ของขวัญอะไร ไม่อยากเป่าเค้ก สิ่งเดียวที่อยากทำทุกวันที่ 12 ของทุกปีคือทำบุญให้พ่อเท่านั้นก็สุขใจยิ่งกว่าได้ของขวัญมีค่าใด ๆ ทั้งสิ้น 

          พ่อจ๋าแม้ว่าวันนั้นจะโกรธพ่อ ที่พ่อไม่รักษาสัญญา ไม่รักษาคำพูด แต่วันนี้ลูกรู้แล้วว่า พ่อรักแม่ รักลูก ๆ มาก มากจนพ่อเองก็ไม่อาจที่ทนดูให้ทุกคนเจ็บปวดไปกับพ่อได้ และลูกก็เชื่อว่าคนอย่างพ่อ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนใคร ๆ ก็รักพ่อ สรรเสริญพ่อ เพราะตลอดเวลา 61  ปี ที่พ่ออยู่ พ่อได้ให้ความรัก  ความเป็นมิตร ความสนุกสนาน ความเป็นเพื่อนที่ดี เป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือของทุก ๆ คน ถึงแม้วันนี้พ่อไม่อยู่กับลูกแล้ว แต่อยากบอกพ่อให้สบายใจได้เลยว่า ลูกทำตามคำที่พ่อสอนทุกอย่าง ดำเนินรอยตามสิ่งดี ๆ ที่พ่อทำให้เห็นและให้ปฏิบัติทุกอย่าง  ไม่ว่าจะวันพ่อปีนี้หรือปีไหน ๆ พ่อก็ยังอยู่กับลูกเสมอ ถึงแม้จะไม่มีเท้าพ่อให้กราบ ไม่มีมือให้รับพวงมาลัยจากลูก  แต่ลูกก็เอาพวงมาลัยกราบไหว้ได้ทุกปีเหมือนลูกคนอื่น ๆ เขาทำกัน จริงไหมพ่อ

 

หมายเลขบันทึก: 511206เขียนเมื่อ 7 ธันวาคม 2012 00:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 ธันวาคม 2012 14:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

เพิ่งผ่านไป 3 ปี
ตอนที่แม่ผมเสียนั้น ผมเสียใจมาก ทุกครั้งที่เห็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับแม่ ผมจะรู้สึกสะท้อนสะท้านใจคิดถึงแม่ เป็นอย่างนี้อยู่ประมาณ 5 ปี จึงคลายลง

 

ขอบคุณกำลังใจดี ๆ จากอาจารย์ค่ะ

ผมอ่านแล้ว ซึ้ง เปนกำลังใจให้ครัะบ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท