จดหมายถึงลูก "ภัคร + เพรียง" ฉบับที่ ๒๒ ตอน ชีวิตที่ลูกเลือก


จดหมายถึงลูก "ภัคร + เพรียง" ฉบับที่ ๒๒

ตอน....ชีวิตที่ลูกเลือก...

 

             (ผืนนาที่น้องเพรียงได้หว่านไว้เมื่อครั้งที่ ๒)

            ในความแตกต่างระหว่างที่แม่มีลูก ๒ คน ระหว่างพี่กับน้อง ในวัยที่หนูอายุ ๒๕ ปี กับ ๒๒ ปี สำหรับพี่ภัคร หนูเลือกเดินทางอาชีพเป็นงานวิชาการ สำหรับน้องเพรียงหนูเลือกทางเดินของหนู คือ หนูเลือกอาชีพเป็นชาวนา ความคิดของพี่ภัครแม่รับได้ เพราะในความคิดในตอนแรก คือ แม่ไม่ต้องการให้ลูก ๆ ลำบาก ต้องการให้หนูทั้งสองคนได้เรียนหนังสือแล้วจะได้ทำงานกันใน Office ซึ่งไม่ร้อนแดด อยู่ในห้องแอร์เย็น เช่นเดียวกับแม่ ในความคิดของแม่ตอนนั้น แม่ต้องการให้ลูกได้มีการศึกษาที่สูง ๆ...แต่นั้นคือ...ความคิดในอดีตที่แม่เคยคิดแบบนั้น

 

        (น้องเพรียงใช้แรงกายในการฉีดพ่นยาฆ่าหญ้าเอง)

            แต่เมื่อแม่มาพบกับเหตุการณ์หลาย ๆ เหตุการณ์ อาจจะเรียกว่า "ประสบการณ์ที่แม่ได้พบ ได้เจอ มันเป็นประเด็นสอนให้กับแม่ได้คิด"...มันจึงกลายมาปรับเปลี่ยนความคิดแม่ในตอนแรกที่แม่ได้คิดมาข้างต้นว่า...ลูกของแม่ทั้งสองคนต้องเรียนสูง ๆ จะได้ทำงานที่ไม่ลำบาก...อีกประเด็นหนึ่งที่ทำให้แม่ปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ นั่นคือ เมื่อทราบว่า...น้องเพรียงเลือกที่จะไม่เรียนต่อ น้องเพรียงขอทำนา ขอเลือกที่จะเป็น "ชาวนา"...ในครั้งแรก แม่ก็ยังไม่ปรับเปลี่ยนแนวคิด แต่เมื่อน้องเพรียงได้ผลผลิตจากนาข้าว เพราะน้องเพรียงได้ทำนาและพิสูจน์ให้แม่เห็นแล้วว่า หนูสามารถทำนาหาเลี้ยงชีพตนเองได้ถึง ๒ ครั้ง ๆ หนึ่ง ๆ หนูขายข้าวได้ในราคาที่เรียกว่า "สามารถเลี้ยงชีวิตตนเองได้ ไม่ได้ทำให้ใคร ๆ ต้องเดือดร้อน"...ทำให้แม่ได้แนวคิดใหม่ว่า..."อาชีพนี้ก็สามารถเลี้ยงชีพตนเองได้ในระดับหนึ่ง...ถ้าตนเองรู้จักคำว่า "พอเพียง"...

 

         (ที่ใดที่มีหญ้าขึ้น น้องเพรียงก็จะทำการตัดออกด้วยตนเอง โดยที่ไม่จ้าง)

              เป็นอาชีพที่ตาก็เคยทำเพื่อที่ได้ส่งแม่ให้เรียนจนจบปริญญาตรี - โท แล้วก็มีงานทำ (รับราชการ) มาได้จนบัดนี้...บางครั้งเมื่อแม่ได้มาอยู่ ณ ที่จุด ๆ หนึ่ง ซึ่งสูงกว่า (อาจเป็นเรื่องที่เราสมมุติมันขึ้นมาเองก็ได้) จากที่เดิม หรือเป็นความคิดที่่ผิด ๆ ของแม่ก็ได้ว่า...ที่ที่เรามาอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ดีกว่าที่เดิม (บ้านเดิม) ซึ่งอยู่กับท้องไร่ ท้องนา...แต่ในความที่เรามาอยู่ ณ ที่ปัจจุบันนั้น ความจริงมีปัญหามากมายที่คนทำงานอย่างแม่ต้องแก้ไขปัญหาเนื่องจากเป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการทำงาน...พอแม่มาย้อนดูเกี่ยวกับชีวิตของน้องเพรียงที่เลือกที่จะเป็นชาวนา น้องเพรียงบอกแม่ว่า...มีความสุขดี อยู่กับท้องไร่ ท้องนา ไม่ต้องไปวุ่นวายกับคนในสังคมทำงานแบบที่แม่ได้ทำอยู่...น้องเพรียงบอกว่า แต่น้องก็ต้องมีปัญหาเช่นเดียวกัน...อาจจะแตกต่างกันด้วยสภาพการณ์ที่ไม่เหมือนกัน ปัญหาของการทำนา จะเกี่ยวกับสภาพของสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติอาจฝนตก ฝนแล้ง ชลประทานปล่อยน้ำ - ไม่ปล่อยน้ำ รวมถึงความขยัน - ความขี้เกียจของตัวเราเองที่ทำนา นั่นเอง

 

         (การทำนา ทำเทือก ปั่นดิน น้องเพรียงก็จะดำเนินการด้วยตนเอง ไม่จ้าง เพราะบอกว่า เสียดายเงิน)

                น้องเพรียงได้เรียนรู้เรื่องการทำนาไปแล้วถึง ๒ ครั้ง สำหรับครั้งที่ ๓ ต้องมอบให้กับน้องอ้อมได้ทำกับพ่อแล้วล่ะ!!!...เพราะน้องเพรียงไปเป็นทหาร (ส่วนใจของแม่คิดว่า หนูห่วงมากเรื่องการทำนา เพราะ ๒ ครั้งแรก น้องเพรียงจะลงมือทำเอง เพราะประหยัดเงินด้วย)...น้องเพรียงเคยบอกกับแม่ว่า "หนูชอบที่จะทำนา มันเป็นอาชีพอิสระ"...แต่แม่คิดว่า...หนูอยากที่จะบอกแม่ว่า...หนูชอบทำงานที่ไม่จำเป็นที่เราต้องไปเป็นนายหรือลูกน้องของใคร...หนูมีความคิดเป็นของตัวเอง เพราะนิสัยส่วนตัวของน้องเพรียง แม่มองดูแล้วคิดว่า...หนูชอบชีวิตที่เสรี อิสระ...หนูไม่ชอบการที่จะให้ใคร ๆ มาบีบ บังคับให้ทำโน่น ทำนี่ นี่คือ "นิสัยของน้องเพรียง"...

 

     (การทำนา น้องเพรียงจะได้รับคำแนะนำจากพ่อของน้องอ้อมเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาและแนะนำให้)

              ในเมื่อถ้าหนูชอบ หนูรักมัน แม่ก็ขอให้หนูทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน...ในตอนแรก ๆ แม่คิดว่า หนูจะทำมันไม่ได้ แต่เวลา ๒ ครั้งของการทำนา ก็ทำให้แม่ทราบแล้วว่า "น้องเพรียงทำได้" แล้วหนูก็มีความคิดมาบอกแม่เรื่อย ๆ ว่า ประสบการณ์ที่พบเจอระหว่างการทำนา ๒ ครั้งแรก นั้นเป็นอย่างไร? เราควรจะทำอย่างไรกับการทำนาใหม่ในรอบที่ ๓...เนื่องจากหนูต้องไปเป็นทหาร ใจหนึ่งก็ขัดกับทางการไม่ได้ แต่ใจหนึ่งหนูก็ยังรัก ยังห่วงนาที่น้องอ้อมได้ไปทำ คอยถามอยู่เสมอว่าเป็นอย่างไรบ้าง?...

              สำหรับการทำงานแบบแม่ แม่จะไม่ค่อยห่วงมากนัก เพราะนั่นคือ การทำงาน แต่สำหรับเรื่องการทำนา ถึงแม้แม่จะเป็นลูกชาวนา แต่ชีวิตจริง ๆ ของแม่ เรียกได้ว่า "เป็นลูกชาวนา" แต่ปากมากกว่า ไม่เคยแม้แต่ที่จะลงมือปฏิบัติเลย ได้แต่อาศัยเงินที่จากน้ำพัก - น้ำแรงของชาวนาส่งเสียให้มีการศึกษาที่สูงขึ้นเท่านั้น...มา ณ บัดนี้ หลังจากที่น้องเพรียงได้เลือกที่จะเป็นชาวนาแล้ว ทำให้แม่รู้ว่า...พอหมดหน้าที่จากการทำงานรับราชการแล้ว (เกษียณอายุราชการ) แม่คงจะต้องลงไปช่วย ดูแล น้องเพรียงบ้างแล้ว ในเรื่องของการทำนา ไม่ได้ลงแรง แต่ก็อาศัยให้ความรู้ที่ถูกต้องให้หนูได้นำไปปฏิบัติด้วยแล้ว...เพราะในอนาคต ชาวนา อาจสูญหายไปจากเมืองไทยก็เป็นไปได้ เนื่องจากทุก ๆ คน คิดว่า...การทำนา เป็นเรื่องที่ น่ารังเกียจ เหนื่อย กันตามความคิดแบบเดิม ๆ นั้น

 

 

              มาถึงจุดนี้ ทำให้แม่มีความคิดว่า...อาจเป็นเพราะสมัยก่อนคนเรายังมีความรู้ไม่มากขึ้น ถ้าคิดแบบเดิม ๆ นั่นก็คือ ทำนาแล้วมันเหนื่อย ลำบาก จึงทำให้คนเราต้องผลักดันตัวเราเองให้มีการศึกษาที่สูงขึ้น แล้วจะได้ทำงานในที่มันไม่เหนื่อย ไม่ลำบาก...ความคิดแบบนี้ แม่คิดว่า...เป็นความคิดที่ผิด เพราะความจริงแล้ว เมื่อคนเรามีการศึกษาที่สูงขึ้น เราควรนำความรู้ที่ได้รับกลับไปพัฒนาท้องถิ่นที่เราเคยจากมาให้ดีขึ้นกว่าเดิมนั่นแหล่ะ จึงจะถูกต้อง...แต่ที่แม่เห็นในปัจจุบันนี้ คนเราส่วนมากจะหนี ๆ จากท้องถิ่นเดิมแล้วเข้ามาทำงานในที่ที่ไม่ลำบากกันเสียเป็นส่วนใหญ่ บางคนก็ขายที่นาเพื่อมาศึกษาหาความรู้กัน...แต่หาทราบไม่ว่า เมื่อเข้ามาทำงานในที่ที่คิดว่าไม่ลำบากแล้ว มันก็จะต้องมีปัญหาที่บางคนยังไม่รู้ ไม่เห็น ได้พบเจอ พอทนกับปัญหาไม่ได้ ตนเองจะกลับก็กลับไปไม่ได้แล้ว เพราะที่นาก็ขายไปหมดแล้ว

 

 

           มาช่วงหลัง ๆ นี้ อาจเป็นเพราะพ่อเรเกษียณแล้ว ได้กลับมาอยู่กับท้องถิ่นเดิมของเรา ทำให้แม่กลับมาใกล้ชิดกับท้องถิ่นของเราอีกครั้งหนึ่งแล้วทำให้แม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของการทำนา รวมทั้งแม่ได้เห็นน้องเพรียงทำนาด้วยแล้ว มันเหมือนกับว่า แม่ได้กลับมาถิ่นเดิมอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ทราบถึงความเคลื่อนไหวของชาวนาว่า ปัจจุบันนั้นไม่เหมือนกับสมัยก่อน จากที่คนสมัยก่อนมีความคิดเห็นว่า การทำนานั้นเป็นอาชีพที่คนอื่นดูแคลน กลับไม่ใช่เช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว...เพียงแต่ว่า อาชีพนี้ ถ้าเราทำนา เราใส่ใจ สนใจที่จะทำจริง ๆ แล้ว จะทำให้เราสามารถเลี้ยงชีพของเราได้ ถือเป็นอีกอาชีพหนึ่งของคนไทยก็ว่าได้...ตราบใดที่มนุษย์เรายังต้องกินข้าว...ชาวนาไม่มีวันที่จะอดตาย...แม้ว่า ราคาจะยังไม่ได้มาตรฐานตามที่ชาวนาฝันว่าอยากให้เป็นดั่งที่คิดเท่านั้นเอง...

 

 

            จึงทำให้แม่เปลี่ยนมุมมองใหม่สำหรับการที่เราเป็นชาวนา...ทำให้แม่มองน้องเพรียงและคิดว่า "น้องเพรียงอาจเลือกอาชีพที่ถูกและเหมาะสมกับตัวเองมากกว่า" เพราะถ้าน้องเพรียงเลือกอาชีพแบบพี่ภัครที่จะทำงานด้านวิชาการแล้ว น้องเพรียงคงต้องเข้ามาแข่งขันกับตัวเองกับคนอื่นมากกว่านี้ จะทำให้น้องไม่มีความสุข แต่นี่...น้องเพรียงเลือกอาชีพที่ตนเองถนัดและรัก จึงทำให้น้องมีความสุขในการดำเนินชีวิต...

            พ่อเรเคยพูดกับพี่ภัครเสมอว่า....ถ้าไปอยู่ในดงวิชาการไม่รอด ก็กลับมาทำนาของเราน่ะ เรายังมีที่นาเป็นของเราเพราะพ่อ - แม่ จะไม่ขายที่นาเป็นอันขาด เก็บไว้ให้ลูก ๆ หลาน ๆ ได้สืบทอดผืนนาแห่งนี้ต่อไป อนาคตมันจะมีมูลค่าอย่างมหาศาล สำหรับกำไรที่ได้จากผืนนาแห่งนี้ นั่นคือ การเก็บเกี่ยวจากผลผลิตที่ได้จากการทำนาในแต่ละครั้งนั่นเอง ส่วนต้นทุนของที่นามันยังอยู่ควบคู่ไปกับอายุของลูก - หลาน

            อีกอย่างที่แม่ได้ปรับเปลี่ยนแนวคิดของแม่จากเดิมมาเป็นปัจจุบันนั้น เพราะแม่ได้ดูวีดีโอ ที่ได้พูดเกี่ยวเรื่องของการทำนา การเป็นชาวนา จากคนที่เรียนจบได้รับใบปริญญาแต่ต้องกลับมาเลือกอาชีพชาวนา จากคนที่ทำอาชีพอื่นแล้วอยากมาเป็นชาวนา...ทำให้แม่ได้คิดและเปลี่ยนมุมมองใหม่ สำหรับอาชีพ "ชาวนา" แต่ก็ยังทำให้เห็นว่า คนไทยส่วนมากก็ยังมองไม่ถึงจุดนี้เหมือนกันแล้วก็ยังมีอีกมาก ๆ ที่ดูว่า "อาชีพชาวนาเป็นอาชีพที่น่ารังเกียจ เป็นอาชีพที่ทุกคนไม่อยากเป็นเพราะกลัวว่าจะเหนื่อยยาก ลำบาก" นั่นเอง...แล้วสำหรับพวกเราล่ะ เราก็มีที่นาเป็นของเราเอง ไม่ต้องเช่าคนอื่น เรามีผืนนาเป็นของเราเอง แล้วเราจะไม่สนใจ ใส่ใจกับผืนหน้าซึ่งก็เป็นอาชีพหนึ่งของการดำรงเลี้ยงชีพเราได้เชียวหรือ???...

              ที่คนส่วนใหญ่ ดูแคลนอาชีพชาวนา นั้น "เป็นเรื่องที่คนเราสมมุติมันขึ้นมาเองใช่หรือไม่???...ซึ่งในความเป็นจริง อาชีพทุกอาชีพที่เป็นอาชีพที่สุจริต...ทุกอาชีพมีความสำคัญในตัวของมันเองใช่หรือไม่ เพียงแต่แตกต่างกันที่หน้าที่หรือคุณประโยชน์ของมันเองต่างหาก!!!...มีใครที่จะให้ข้อมูลกับคนในสังคมอย่างถูกต้องบ้าง มิใช่หลงผิดกันไปตามสิ่งที่เขาสมมุติขึ้นมา...แต่ความจริงมันก็ยังคือ ความจริง ว่า "ทุกอาชีพที่สุจริตและมีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนั่นต่างหากที่พวกเราไม่ควรนำมาเปรียบเทียบให้ดูว่า...มันสูงหรือต่ำ" ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ สูง - ต่ำ หรอก เพราะทุกคนต่างสมมุติกันขึ้นตามรู้สึกของแต่ละคนทั้งนั้น...แค่เราคิดว่า...สิ่งใดบ้างที่ทำแล้วเกิดประโยชน์ต่อเพื่อนร่วมโลกก็คงพอแล้วกระมัง...

 

 

 

 

 

 

อ่าน "จดหมายถึงลูก" ฉบับที่ ๒๒ ทุกฉบับได้จากที่นี่...จดหมายถึงลูก ...

 

หมายเลขบันทึก: 510531เขียนเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2012 14:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2013 15:56 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

-สวัสดีครับ

-มาให้กำลังใจคนทำนาครับ

-อยู่แบบพอเพียงก็เพียงพอครับ

-ขอบคุณครับ

ขอบคุณค่ะ คุณเพชรน้ำหนึ่ง Ico48

เป็นชีวิตที่เกิดมาเพื่อดำรงชีวิตค่ะ ไม่แสวงหาสิ่งที่เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร จะได้หรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ อาชีพที่เห็นนี้แน่นอนกว่า แล้วไม่ต้องไปแก่งแย่งแข่งขันกับคนอื่น ๆ ด้วยค่ะ เป็นอาชีพดั้งเดิมของพ่อ แม่ ว่าแต่บรรดาลูก ๆ จะสืบสานต่อหรือไม่เท่านั้นเอง

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท