ธรรมหรรษา
รศ.ดร. พระมหา หรรษา นิธิบุณยากร

เปิดทางเมล็ดพันธุ์สันติวิธี... ปิดวิถีความรุนแรง!!!


พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, รศ.ดร.
โครงการปริญญาโท สันติศึกษา



http://www.komchadluek.net/detail/20121125/145700/เปิดทางเมล็ดพันธุ์สันติวิธีปิดวิถีความรุนแรง!.html


แม้จะเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ซึ่งอยู่ในฐานะของการเป็น "พลเมืองคนหนึ่ง" ที่เสียภาษีให้แก่รัฐทุกเดือน นั่งมองสถานการณ์ "บ้านเมือง" บ้านเมืองที่ตัดสินใจใช้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาเป็นเครื่องมือในการบริหารบ้านเมืองมาตั้งแต่ปี ๒๔๗๕ บ้านเมืองที่ไม่ใช่สมบัติของผู้หนึ่งผู้ใด หากเป็นสมบัติของประชาชนที่เป็นเจ้าของอธิปไตย โดยไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเข้ามาอ้างสิทธิ์ หรือผูกขาดบ้านเมืองเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว


ในสังคมประชาธิปไตยนั้น ความขัดแย้ง และเห็นต่างทางความคิด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ น่ารังเกียจ และน่าสะพรึงกลัว หากแต่ความขัด หรือแย้งนับเป็นเสน่ห์ และความงดงามต่อการอยู่ร่วมกันของประชาชนในระบอบนี้ ดังนั้น ต้องเปิดพื้นที่ให้กลุ่มคน หรือกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น และแสดงออกในทุกจังหวะ และโอกาสที่เหมาะสม การกระทำการ หรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อปิดพื้นที่ไม่ให้คู่กรณีได้ "ระบายอารมณ์และความรู้สึก" นั้น จะนำไปสู่ "การระเบิดครั้งใหญ่" อันเกิดจากแรงอัดอย่างน่าสะพรึงกลัว!!!

การเปิดพื้นที่ดังกล่าว จึงถือได้ว่าเป็นการเปิดทางให้สันติวิธีได้ทำงานภายใต้วิถีประชาธิปไตย เพราะสันติวิธี ไม่ว่าจะเป็นสันติวิธีชนิดเรียกร้องความต้องการ (Non-Violent Action) หรือสันติวิธีแบบการจัดการความขัดแย้งโดยการเจรจา และการใช้กฎหมาย (Peaceful Means) เป็นต้นนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่สะท้อนวิถีประชาธิปไตยได้อย่างทรงคุณค่า และมีความหมาย ฉะนั้น การที่เราช่วยเปิดพื้นที่ให้วัฒนธรรมสันติวิธีทำงานได้มาก หรือเจริญงอกงามมากเพียงใด ยิ่งจะสะท้อนวิถีประชาธิปไตยที่เจริญเติบโตอย่างมีวุฒิภาวะ และสมบูรณ์ได้มากเพียงนั้น 

ในทางกลับกัน สังคมประชาธิปไตยจะต้องช่วยกันปิดพื้นที่ไม่ให้ "ความรุนแรง" ได้มีลมหายใจ และมีโอกาสทำงาน อีกทั้งต้องไม่สนับสนุน หรือเปิดพื้นที่ให้ใคร หรือกลุ่มบุคคลใดได้ใช้ความรุนแรงเข้าไปตัดสินใจ หรือใช้แก้ปัญหา เพราะจากประสบการณ์ของประเทศไทย หรือของโลก เช่น สงครามอีรัก ไม่เคยมีการแก้ปัญหาครั้งใดประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน และมั่นคง หากใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือในการเข้าไปแก้ไขปัญหา เพราะผลที่ได้รับตามมาทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวคือความสูญเสียชีวิต ทรัพย์สิน เศรษฐกิจ การเมือง และสังคมอย่างประมาณค่ามิได้

ถึงกระนั้น จากหลายสมรภูมิรบ มักจะมีทฤษฏีที่ว่า "ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะบวก หรือลบ ชั่วคราวหรือถาวร จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงมาเป็นเครื่องมือในการต่อรอง และแก้ปัญหา" แต่แนวคิดดังกล่าว มักจะทำให้เกิดคำถามเช่นกันว่า (๑) ในระยะยาวแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนจริงหรือ?!!? หากแก้ได้จริง!!! เราใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาชาติบ้านเมืองมาจำนวนกี่ครั้งแล้ว (๒) เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ในอนาคตเราจะไม่กลับมาใช้ความรุนแรงอีก อีกทั้งจะไม่ทำให้เราเสพติดความรุนแรง เพราะคุ้นเคยต่อการใช้ความรุนแรง (๓) การสูญเสียอันเนื่องมาจากความรุนแรงที่มุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แม้จะเป็นการสูญเสียน้อยหรือมาก หากเลือกได้ ทำไมจึงไม่เลือกช่องทางที่ไม่ก่อให้เกิดผลเสียทั้งชีวิต เลือดเนื้อ และทรัพย์สิน

จากแนวทางนี้ จำเป็นอย่างยิ่งต้องเปิดทางให้สันติวิธีว่าด้วยการเรียกร้องความต้องการทำงานต่อไป พร้อมกันนี้ ทุกฝ่ายต้องเห็นพ้องต้องกันในการร่วมกันปฏิเสธทุกการกระทำ หรือทุกเงื่อนไขที่จะนำไปสู่ความรุนแรงและสูญเสีย และหากจะให้เกิดกระบวนการเจรจาและพูดคุยอย่างสันติวิธีเพื่อหาทางออกนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวังท่าทีที่จะนำไปสู่การยั่วยุ เยาะเย้ย และถากถางซึ่งกัน และกันเกี่ยวกับวิธีคิด และกิจกรรมการแสดงออกในลักษณะต่างๆ ในทางกลับกัน ควรเปิดใจในการศึกษา เรียนรู้ และทำความเข้าใจหลักการ และเหตุผลของฝ่ายต่างๆ อย่างมีขันติธรรม เพราะการเปิดใจ และรับฟังอย่างมีสตินั้น จะทำให้กลุ่มคนต่างๆ ในสังคมได้ศึกษา เรียนรู้ และเข้าใจวิธีคิด และวิถีปฏิบัติของกันและกันมากยิ่งขึ้น เมื่อนั้น สังคมย่่อมตัดสินใจเลือกได้เองว่า "ท่าทีและมุมมองของใคร หรือกลุ่มใดเป็นบุญหรือบาป!!! เป็นสวรรค์หรือนรก!!!" โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปช่วยเติมเชื้อไฟอันจะก่อให้เกิดความเกลียดชังในแง่มุมอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะ "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม!!!"

หมายเลขบันทึก: 510069เขียนเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2012 12:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 ธันวาคม 2012 20:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สันติ คือทางแก้ไข ทุกปัญหา เหตุจากการแย่งมวลชน

ทำไมชาวใต้ถึงฟังกลุ่ม บีอาร์เอ็น มากกว่า รัฐ (จากการ สรุปโดย พล.อ เอกชัย ศรีวิลาศ ผอ. สถาบันสันติวิธี)) เพราะ กลุ่ม บีอาร์เอ็น สามารถแสดงออกอย่างเปิดเผยว่า พวกเขากตัญญูสูงสุดได้. เพราะเขากตัญญูต่อเจ้าเมืองธรรมชาติ ที่ให้ออกซิเจนพระพุทธเจ้า หายใจ มันคือการใฝ่หาของมนุษย์โดยพื้นฐานว่า เขาจะฟังผู้กตัญญู และ จะต่อต้านผู้มีจิต เนรคุณ นั่นเอง. จงกตัญญูให้เท่าเทียมผู้ที่ท่าน จะเข้าพัฒนาเขา

ลองปรับกันซักนิด จะครองใจชาวบ้านได้ง่ายขึ้น. ด้วยการมีพระเจ้าเป็นสิ่งกตัญญู แทนการมีเป็นสิ่งปฏิเสธ ถึง เนรคุณ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท