ในการอบรมตามหลักสูตรปลุกจิตวิญาณความเป็นครู ในครั้งนี้ มีครู ร่วมอบรม 46 คน จาก 3 โรงเรียน เป็นโรงเรียนที่เปิดสอนวิชาสามัญและศาสนาทั้งหมด โดยได้แจกเอกสารเป็นรูปเล่ม ทั้งหมด 115 หน้า ประกอบด้วยสาระที่เกี่ยวกับนิยามความหมาย ความเป็นครูและรายละเอียดอื่น ๆ ทุกรายการที่เกี่ยวข้อง ในเบื้องต้นได้แจ้งให้ทราบว่าในแต่ละวันจะมีการประเมินผลความรู้ที่ได้รับทุกวันซึ่งไม่มีปรากฏอยู่ในตาราง โดยจะให้เติมคำในช่องว่างทั้งหมด 10 ข้อ และทุกข้อจะเป็นความรู้ตามในเอกสารประกอบการอบรม และจะไม่มีคำถามที่นอกเหนือจากเอกสารดังกล่าว
หลังจากทดสอบความรู้ก็นำไปอ่านเพื่อตรวจและบันทึกคะแนน พบว่าไม่มีผู้เข้ารับการอบรมคนใด้เกินร้อยละ 50 แม้แต่คนเดียว โดยนัยแสดงให้เห็นว่าวิทยากรบกพร่องหรือความสามารถไม่ถึง แต่ก่อนเริ่มในวันที่ 2 ก็แจ้งให้ทุกคนทราบ และได้มีผู้เข้ารับการอบรมได้แสดงความเห็นว่าการอบรมเป็นเรื่องที่เขาไม่ค่อยจะได้รับ ไมมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในวิชาชีพ ที่สอนอยู่ก็ไม่เห็นใครว่ามีปัญหา จึงทำให้การมารับความรู้ที่มองไม่เห็นความสำคัญเท่าที่ควร จึงทำเกิดไม่มีการบันทึก ไม่มีการสรุปสาระ และมองว่าเรื่องสาระที่วิทยากรนำเสนอเป็นเรื่องจำเป็นที่ครูต้องรู้ต้องใช้และต้องมี แต่ในเรื่องเหล่านี้เขาไม่เคยมีมาก่อนก็จำเป็นอยู่เองที่จะเป็นเช่นนั้น
จากประเด็นดังกล่าวจึงแจ้งให้ทุกคนทราบว่าครูต้องสอนตามตัวชี้วัด ครูต้องรู้สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ครูต้องรู้คุณลักษณะอันพึงประสงค์ พร้อมทั้งมีการแสดงผลการประเมินในเรื่องเหล่านี้บันทึกผลในแบบบันทึกผลการเรียนรู้รายบุคลทุกคน เป็นราบภาค รายปี หลายคนส่ายหน้า นักเรียนก็เหมือนครู นักเรียนไม่มีความรู้มาตามลำดับตั้งแต่ ป.1 ถึงม.6 ถ้าไม่ได้รับความรู้ที่จำเป็นจากครูมาตามลำดับในแต่ละระดับชั้นเพราะครูไม่ชี้แนะ ไม่แนะนำ หรือสอนไว้นักเรียนก็มีสมองว่างเปล่า ยกตัวอย่าง สาระภาษาไทย ใน ป.3 แต่ลองถาม นักเรียนชั้น ม. 6 เรื่องการใช้พจนานุกรม ซึ่งครูจะไม่สอนเป็นส่วนใหญ่ นักเรียนก็จะมองหน้ากันและกัน เพราะคำถามมันง่ายแต่พอจะตอบมันก็ยาก โดยจะถามว่า การเรียงลำดับในพจนานุกรมฉบับราชบัญฑิตยสถาน ฉบับพุทธศักราช 2542 คำ ผัวะ กับ ผัว คำไหนจะมาก่อน ผู้เข้าอบรมเป็นครูจบปริญญาตรีก็ไม่กล้าตอบ ซึ่งในพจนานุกกรม ก็จะพบว่า คำ ผัว อยู่ก่อน ผัวะ ซึ่งเป็นไปตามหลักการใช้พจนานุกรมดังกล่าว มองโดยทั่วไปครูทุกคนเริ่มแสดงอาการยอมรับในความบกพร่องของเป็นครูของเขาอย่างเห็นได้ชัดเจน
สิ่งหนึ่งที่จะบอกได้ว่าครูเหล่านนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนคือผลการประเมินการรับความรู้สาระในวันที่ 2 ทุกคนทำการตอบแบบสอบถามอย่างยิ้มแย้มผิดกับวันแรกอย่างสิ้นเชิงและทีสำคัญคือ ทุกคนทำผลการประเมินได้ร้อยละ 100 ทั้งหมด
การสร้างความเข้าใจที่แท้จริงในวิชาชีพครูจึงมีความจำเป็นสูงที่จะต้องทำตามมาตรฐานการพัฒนาครู อย่างน้อยคนละไม่น้อยกว่า 20 ชั่วโมง แต่ส่วนใหญ่สถานศึกษาได้ละเลยในเรื่องการพัฒนาครูมานาน นานจนลืมไปว่าครูทุกคนต้องได้การเพิ่มพูนความรู้อย่างสม่ำเสมอ ถ้าครูล้าหลัง ผลผลิตที่เป็นนัเรียนก็ล้าหลังตามไปด้วย ท่านมีความเห็นเช่นนี้หรือไม่
เพราะในโลกนี้สรุปได้ว่าไม่มีใครผิดนอกจากความเข้าใจ การให้ความรู้จะทำให้ความเข้าใจของแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีและมีความเป็นมาตรฐานการเป็นครูเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน
สวัสดีครับ
ด้วยความเคารพครับ ขอบคุณใความคิดเห็น และดอกไม้ที่ให้กำลังใจครับ ขอบคุณ