การเรียนรู้ตามอัธยาศัย ระบบการศึกษาเรียนรู้ที่ถูก กีดกันไปสู่ชายขอบ
มีผู้กล่าวถึงระบบการศึกษาตลอดชีวิตมีอยู่สามระบบ
คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย
สองแบบนั่นมีความชัดเจน และรุ่งเรือง ไล่ตามกันมา
เนื่องจากเป็นองค์กรขนาดใหญ่มีทรัพยากรมนุษย์จำนวนมาก
และ ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดำเนินการ
จนได้คนสิบถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ที่เป็นคนชั้นเลิศ และได้รับตำแหน่งมากมาย
ที่ได้ค้ำยัน และผลิตซ้ำ สิ่งประดิษฐ์ ที่เรียกว่าการศึกษาในระบบ ซึ่งเกิดหลัง
ปฎิวัติอุตสาหกรรมไม่นานเท่าไรนัก นอกจากได้คนชั้นเลิศสิบถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้วและทิ้งคนกลาง ๆ และแย่ ๆ ไว้เป็นแรงงาน
การศึกษาตามอัธยาศัย หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Informal Education
จริง ๆ จะแปลเป็นการศึกษาตามอัธยาศัย ผมก็ว่ายังไม่ถูกต้องเท่าไรนัก ต้องให้ชัดเจนว่าเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะในตลอดชีวิตมีการเรียนรู้แบบนี้เกิดขึ้นจริง ตามนิยามของกรมการศึกษานอกโรงเรียนไว้ดังนี้
“เป็นการศึกษาที่เกิดขึ้นตามวิถีชีวิต เป็นการเรียนรู้
จากประสบการณ์ การทำงาน บุคคล ครอบครัว สื่อ ชุมชน แหล่งความรู้
ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ และการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยการ
ศึกษาตามอัธยาศัยมีลักษณะสำคัญ คือ ไม่มีหลักสูตร ไม่มีเวลาเรียนที่
แน่นอน ไม่จำกัดอายุ ไม่มีการลงทะเบียน และไม่มีการสอบ การเรียน
ส่วนใหญ่เป็นการเรียนเพื่อความรู้และนันทนาการ อีกทั้งไม่จำกัดเวลาเรียน
สามารถเรียนได้ตลอดเวลา และเกิดขึ้นในทุกช่วงวัย ตลอดชีวิต”
ผมว่าเป็นการนิยามความหมายที่ชัดเจนมากเลยทีเดียว
แต่กลับเรียกว่าเป็นการศึกษาตามอัธยาศัย
เป็นคำที่ผมใช้คำว่าเรียนรู้ตลอดชีวิต น่าจะมีนัยเดียวกัน
แต่การเขียนว่าเป็นการศึกษาตามอัธยาศัย
ทำให้ลดพลังและความสำคัญลงไปอย่างน่าเสียดาย
เนื่องจากระบบการศึกษาตามอัธยาศัยของเราอยู่คู่โลกมานาน นับตั้งแต่มนุษย์
เกิดขึ้นมาและสร้างสรรค์อารยธรรม ตั้งแต่ยุคบรรพกาล ยุคหิน ยุคเหล็ก
ยุคไฟจนถึง ยุคไฟนีออน การค้นคิดสิ่งต่าง ๆ ของมนุษย์ทุกยุค อาศัยการเรียนรู้ตลอดชีวิต หรือที่เรียกว่า การศึกษาตามอัธยาศัย เพราะมนุษย์ทุกคน
มีสมองที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา
ไม่ว่าเราจะพูดคุยกัน แลกเปลี่ยนทัศนะ หรือการเข้าหาประสบการณ์ตรง
บางสิ่งบางอย่างไร้รูปแบบ ไร้กรอบ หรือแม้กระทั่งการสนทนากับตัวเอง
ก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิตหรือ ศัพท์ที่จะเรียกว่า การศึกษาตามอัธยาศัย ความกว้างและครอบคลุมตลอดชีวิต ของระบบการเรียนรู้
ประเภทนี้ ทำไมจึง ไม่มีคนให้ความสนใจ ที่จะพัฒนาให้ทุกคนรู้สึกว่าการเรียนรู้ตลอดชีวิตนั้นมีความสำคัญมากที่สุด
คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้แก่
มีการจงใจหรือไม่ ที่ผลักดันการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ให้ไร้ความสำคัญ ?????
ถามว่าใครมีองค์ความรู้เกี่ยวกับเกษตรกรรมการทำมาหากิน มากกว่าชาวบ้าน
ถามว่าใครมีองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการชุมชน ได้ดีมากว่า ชาวบ้าน
ถามว่าใครมีองค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรอย่างยั่งยืน เป็นธรรม มากกว่าชาวบ้าน
ถามว่าใครมีองค์ความรู้ในการพัฒนาประเทศเท่ากับ ชาวบ้าน
ถามว่าใครมีองค์ความรู้เรื่องการศึกษาได้ดีเท่ากับชาวบ้าน
การกีดกันชาวบ้านออกจาการพัฒนา ก็คือ ใบรับรองและวุฒิการศึกษา
ซึ่งเป็นผลผลิตจากความน่าเชื่อถือในการรับรองคุณวุฒิ และความรู้
ต่อมาตอนหลังมีการดัดจริต ให้ปริญญากิตติมศักดิ์อะไรแก่ชาวบ้านบ้าง
ชาวบ้านที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ชาวบ้าน บางทีความรู้ของเขา
น่าจะเทียบเท่าปริญญาเอก ก็เทียบให้เขาปริญญาตรีบ้าง ปริญญาโทบ้าง
แต่ก็ยังดีที่เขายังเห็นความสำคัญ แต่ก็ไม่จริงจังเท่าไรนัก เนื่องจากไม่ได้สืบค้นหาว่า
ความรู้ที่เขาได้นั้นเป็นคำตอบจากการศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร และ
แก้ไขปัญหานั้นอย่างไร และก่อรูปองค์ความรู้ได้อย่างไร และมูลค่าที่เขาคิด
และแก้ปัญหานั้นเทียบเท่า ศาสตราจารย์ หรือ ปริญญาเอก ในการสร้างองค์ความรู้ใหม่อย่างไร
องค์ความรู้นั้นเกิดทุกวันเพราะปัญหามีอยู่ทุกวัน
ถามว่าศักดิ์ศรีของความรู้ของชาวบ้าน กับนักวิชาการนั้นเทียบเท่ากันได้ไหม
ความรู้จากชาวบ้านเกิดจากชีวิตและการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ซึ่งจะต้องกระทำถ้าไม่กระทำแล้วจะอด หรือ ไม่มีกิน ส่วนนักวิชาการนั้นมีเงินเดือนพร้อมแล้วก็ผลิตงานที่เป็นความนึกคิดฝัน ในห้องแอร์ เป็นชุดคำตอบสำเร็จรูป พร้อมที่จะให้ท่องจำ ควบคุมวินัย แล้วก็สอบ ผมคิดว่าศักดิ์ศรีขององค์ความรู้นั้นเท่ากันคนที่ได้เปรียบก็คือคนที่มีใบรับรอง มีเปลือกหนา คำย่อเยอะ ๆ จะน่าเชื่อถือกว่า ทั้งที่เป็นผลิตองค์ความรู้เช่นกัน
ปัจจัยที่ทำให้ถูกกีดกันไปสู่ความไม่สำคัญนั้น เกิดเพราะว่า
กลัวว่า ชาวบ้านจะสามารถเกิดการคิดเองทำเองได้ เพราะการศึกษาตามอัธยาศัยนั้นผู้เรียนรู้สามารถกำหนดสิ่งที่จะเรียนรู้เองได้ และจริง ๆ ก็มีคนฉลาดและประสบความสำเร็จมากมายที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ตั้งแต่ระดับ
เจ้าสัวมหาเศรษฐี ไปจนถึงเกษตรกร ซึ่งไม่มีใครอ้างได้ว่าเกิดจาก
แผนการจัดการเรียนรู้ของใคร และจริง ๆ แล้วการที่พวกได้รางวัลระดับ
โอลิมปิควิชาการนั้น มาจากการศึกษาตามอัธยาศัยหรือไม่
เพราะจะมีครูคนไหนอ้างอิงแผนการสอนของตนเอง
มาวัดการประสบความสำเร็จของลูกศิษย์ ถ้าลูกศิษย์ไม่ได้คิดชอบเอง
โดยกำหนด และคิดได้เองได้อย่างรอบรู้
และถ้าอ้างอย่างนั้น ทำไมได้โอลิมปิควิชาการเพียงคนหรือมากที่สุดสองคน ทำไมไม่ได้ทั้งหมด
คนที่ลงทุนเรียนเพื่อให้คนอื่นเซ็นต์รับรองความรู้ของตนเองนั้น
กลัวว่าคนที่ไม่เรียนมาจะได้รับการประเมินค่าเดียวกัน
มีศักยภาพที่เท่า ๆ กัน หรือไม่เรียนเลยจะดีกว่า ยกตัวอย่างง่าย ๆ
เช่นคุณพ่อ คุณแม่บางคนที่ไม่ได้ เรียนหนังสือมาแม้แต่ตัวเดียว
แต่ก็มีองค์ความรู้ในการดำเนินชีวิตและสามารถ
ส่งลูกทุกคนให้จบการศึกษามาได้ แถมยังสอนเรื่องคุณธรรมจริยธรรม
ปลูกฝังความดีงาม ให้กับพวกที่ท่องจำองค์ความรู้ไปสอบได้ขนาดไหน
แบบนี้จะเหนือชั้น หรือ เทียบเท่า หรือเทียบกันไม่ติด ก็ลองคิดศักดิ์ศรีกันเอาเองสำหรับผมแล้ว พวกทีศึกษาตามอัธยาศัยเหนือชั้นกว่าเยอะ
เพียงแต่ไม่มีใครเขียนถึงเขา ไม่สร้างทฤษฎีให้เขา ไม่สร้างเวทีให้เขายืน
ผมนี่แหละจะเขียนให้เขา สร้างทฤษฎีและคำอธิบาย ให้เข้าใจได้ง่าย ๆ
การศึกษาที่เกิดขึ้น .. ... ตามวิถีชีวิต คือ การเรีบนรู่ .... ขอบคุณมากค่ะ
ขอบคุณครับ ท่าน ดร.