ชีวิต......................


เราโชคดีกว่าอีกหลายคนที่ยังมีเวลาดูแลซึ่งกันและกัน

 

ชึวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง.............
ลูกชายคนโตอายุ 17 ปี
ลูกคนที่สอง อายุ  6 ปี
ลูกคนที่สามอายุ 4 เดือน (กำลังอยู่ในท้อง)
เธอ...........มีลูกขณะที่กินยาคุมกำเนิด
               มีลูกในวัยที่แม่มีความเสี่ยงสูงที่ลูกออกมาจะมีความผิดปกติ (อายุ 39 ปี)
               มีลูกอยู่ในท้องในห้วงเวลาเดียวกับที่หมอบอกว่า พ่อของลูกเป็นโรคร้ายแรง คาดว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงประมาณปีใหม่ ทั้งๆ ที่เดิมร่างกายแข็งแรง อยู่ในช่วงของสร้างเนื้อสร้างตัว (42 ปี  ทำไร่อ้อย)
               มีลูกอยู่ในท้อง ในห้วงขณะที่ตรวจพบว่าเต้านมต้านขวาพบก้อนเนื้อ  รอฟังผลการตรวจชิ้นเนื้อในช่วงปลายเดือน
      ลูกชายคนโต ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนัก พัฒนาการของสมองค่อนข้างช้า เมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกัน นี่เป็นเหตุให้เธอตัดสินใจมีลูกคนที่ 2 ในช่วงอายุที่ห่างกัน
       ลูกคนที่ 3 ไม่ตั้งใจ.....หลายคนบอกให้เอาออก เพราะแม่อายุมาก...... แต่เธอไม่กล้า เพราะเท่าที่สามีป่วย มันก็เป็นเคราะห์กรรมมากแล้ว ไม่อยากทำบาปอีก  เมื่อเขาอยากมาเกิด ก็แปลว่าเขาอยากมาอยู่กับเรา
 
ปีที่แล้ว เธอสูญเสีย แม่บังเกิดเกล้า 
ช่วงต้นปี  เธอสูญเสียพี่สาวที่รัก ด้วยภาวะติดเชื้อ
             เมื่อวาน..........หมอนัดคนไข้มานอนโรงพยาบาลวางแผนว่าจะผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออกในวันรุ่งขึ้น
เธอบอกว่าเธอนอนไม่หลับทั้งคืน.....กังวลกับการผ่าตัด กลัวว่าสามีจะมีการติดเชื้อ  กลัวสามีเสียชีวิตเหมือนที่เธอพบเจอกับพี่สาวมาแล้ว
วันนี้..............เธอเดินทางมาโรงพยาบาลเพื่อดูแลสามี...............ทราบว่างดการผ่าตัด.........ความกังวลเปลี่ยนไป............
ทำไม.............รักษาไม่ได้ ?  โรคร้ายแรงเหมือนที่หมอโรงพยาบาลนั้นบอก?
               ความจริงคือ โรคอยู่ในระยะลุกลาม แพร่กระจายเข้าไปในปอด  การผ่าตัดไม่เกิดประโยชน์มากเท่ากับเกิดโทษ (ได้ไม่คุ้มเสีย)
           สิ่งที่เราคุยกับคนไข้และญาติคือ.....ปอดไม่ค่อยดีนัก ถ้าผ่าตัดใหญ่ ใส่ท่อช่วยหายใจเกรงว่าจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เอาท่อออกไม่ได้จะใช้เวลาในการรักษานาน
หมอเลยปรับวิธีการรักษาใหม่........เป็นการฉีดยาเคมีเข้าทางเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตับให้ก้อนมันค่อยๆ ยุบลง (TACE) Transcatheter arterial chemoembolization
ซึ่งจะมีความปลอดภัยกว่า เพียงแต่ว่าอาจต้องมาโรงพยาบาลเป็นระยะทุก 45-60 วัน เพื่อฉีดยาซ้ำ
เธอดูมีสีหน้าที่ดีขึ้น..........
เธอบอกเล่าความรู้สึกเมื่อแรกที่หมอบอกเรื่องโรค ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อรู้ว่าตัวเองท้อง  การจัดการกับอารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้น
เราช่วยชี้จุด เสริมกำลังใจ  พลิกมุมมองในอีกด้านของชีวิต
คิดให้น้อยที่สุดในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง  (สามี  พ่อของลูกจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่เดือน      ? )
            ในขณะนี้พ่อของลูกยังอยู่กับเรา โชคดีที่เราได้ใช้เวลาร่วมกัน ดูแลซึ่งกันและกัน  วางแผนชีวิตร่วมกัน  โชคดีกว่าหลายคนที่จากกันอย่างกะทันหัน ไม่มีเวลาพูดคุยกัน
ยังโชคดีที่มีพี่สาวของสามีคอยดูแล...........หยิบยืมเงินทอง (ซึ่งไม่รู้ว่าจะหามาชดใช้ได้หรือไม่   จึงเป็นที่มาของคำถามจากผู้ป่วยว่า...........  รักษาแบบนี้ครั้งต่อๆ ไปผมสามารถมารถโดยสารได้มั้ยครับ ?........เพราะต้องเข้า ออกโรงพยาบาลอีกหลายครั้งตามการนัดของหมอ)
               แต่นั่นแหละ ยิ่งดี ก็ยิ่งเกรงใจ...................ภาระอันหนักอึ้ง
ช่วงแรกที่รู้ข่าว
  เธอทำใจไม่ได้ กินน้ำตาต่างข้าว ร่างกายซูบผอม ทั้งสามี ภรรยา คิดวนเวียนอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น  “สามีเป็นคนดี ไม่เกเร เป็นที่รักของครอบครัว  แต่ทำไม จึงเกิดโรคนี้ขึ้น  ในขณะที่คนดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ทำไมจึงดูแข็งแรง”
วันหนึ่งเธอตัดสินใจชวนกันเข้าวัด อาศัยพระ.............ธรรมะ  ทำบุญ  สภาพร่างกายและจิตใจค่อยๆ ดีขึ้น แม้จะยังไม่เต็มร้อย แต่ก็พร้อมที่จะสู้ในห้วงเวลาที่เหลืออยู่
ขณะที่บอกเล่า..........เธอยังซับน้ำตาที่ไหลรินออกมาอยู่เรื่อยๆ
                จากประสบการณ์ตรง............การที่มีใครสักคนรับฟังเรื่องราวคำบอกเล่าของเรา.............เพียงแค่นี้ มันก็เป็นความรู้สึกที่ดีแล้ว 
    ความรู้สึกว่า เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกกว้าง  ท่ามกลางความแปลกหน้า ยังมีความเป็นมิตรฝังอยู่
            ในความทุกข์ที่ได้ยิน..............เราก็ยังมีความสุขใจที่อย่างน้อยก็ช่วยแบ่งเบาความรู้สึกของเธอได้บ้าง.............แม้จะไม่ทั้งหมด
           ในความทุกข์ที่ได้ยิน .........ความทุกข์ของเราดูด้อยลงไปทันที
                 ล่าสุด....................ก่อนลงเวร..........ใบขอนัดการรักษา TACE ถูกส่งกลับพร้อมกับข้อความว่า ไม่สามารถทำการรักษาแบบนี้ได้..............
                  แรกที่ทราบ..........ใจหายวาบ.............ได้บอกเล่าขั้นตอน วิธีการปฏิบัติตัวในการทำ TACE ไปบ้างแล้ว......................
                  แล้วนี่............ทำไม่ได้........... เราจะทำอย่างไรดี

 

คงต้องรอปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้......
 
หมายเลขบันทึก: 505087เขียนเมื่อ 10 ตุลาคม 2012 00:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 ตุลาคม 2012 07:58 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

ขอบคุณครับ...แอบเศร้า แต่ยังมีกำลังใจส่งให้ครับ...ชอบมากครับตรงประโยค..

จากประสบการณ์ตรง............การที่มีใครสักคนรับฟังเรื่องราวคำบอกเล่าของเรา.............

เพียงแค่นี้ มันก็เป็นความรู้สึกที่ดีแล้ว ความรู้สึกว่า เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกกว้าง ท่ามกลางความแปลกหน้า ยังมีความเป็นมิตรฝังอยู่

อ่านแล้ว ปัญหาซับซ้อนมาก ลองตั้งเป้าหมายร่วมกับผู้ป่วยทีละข้อ

แต่เราต้องรู้ว่าเป้าหมายการรักษา ...

ดูแล้วหมอบอกอยู่ได้ 1 ปี ผู้ป่วยท้องได้ 4 เดือน...

เป้าหมาย คือ ชีวิตของลูกที่อยู่ในท้อง น่าจะพอจะรักษาเพื่อให้ลูกในท้องรอดชีวิต

ถ้าเรามุ่งที่เป้าหมายนี้ เราค่อยวางแผนร่วมกับผู้ป่วยและแพทย์ว่ามีวิธีไหนที่จะรักษาที่ดีที่สุดค่ะ

พี่แก้ว

 

 
ชีวิต....... ยังมีความหวัง
 

Like This Page · Sunday via mobile
 
 
 
Photo: วันนี้ทีมงานได้ไปช่วยกันดูแลและแนะนำหลวงปู่ที่เป็นมะเร็งตับขั้นสุดท้าย ณ วัดพุทธวิปัสสนา ลองบีช คุณหมอปุยสมาชิก NALS ที่เคยร่วมสัมมนา ได้ทำตามยา 9 เม็ด แล้วได้ผลกับตนเองและลูกๆ ได้แนะนำให้หลวงปู่ที่หมดแรงไม่สามารถลุกขึ้นได้ นอนแต่บนเตียง คุณปุยให้ท่านทำดีท็อกครั้งแรก ปรากฎว่่าท่านสามารถลุกขึ้นมาสวดมนต์ได้ ท่านจึงเกิดความศรัทธาและมีกำลังใจ วันนี้ทางทีมงานจิตอาสาได้ไปร่วมสมทบดูแลถึงวัด ได้สาธิตการกัวซา กดจุดลมปราณ และถวายถุงดีท้อกให้กับพระผู้ดูแลทุกรูป ถวายน้ำคลอโรฟิวล์ และผักสลัด ขออนุโมทนากับทุกๆท่านด้วยค่ะ
1Like · ·
 

วันนี้ทีมงานได้ไปช่วยกันดูแลและแนะนำหลวงปู่ที่เป็นมะเร็ง ตับขั้นสุดท้าย
ณ วัดพุทธวิปัสสนา ลองบีช คุณหมอปุยสมาชิก NALS ที่เคยร่วมสัมมนา
ได้ทำตามยา 9 เม็ด แล้วได้ผลกับตนเองและลูกๆ
ได้แนะนำให้หลวงปู่ที่หมดแรงไม่สามารถลุกขึ้นได้
นอนแต่บนเตียง คุณปุยให้ท่านทำดีท็อกครั้งแรก
ปรากฎว่่าท่านสามารถลุกขึ้นมาสวดมนต์ได้
ท่านจึงเกิดความศรัทธาและมีกำลังใจ
วันนี้ทางทีมงานจิตอาสาได้ไปร่วมสมทบดูแลถึงวัด ได้สาธิตการกัวซา
กดจุดลมปราณ และถวายถุงดีท้อกให้กับพระผู้ดูแลทุกรูป
ถวายน้ำคลอโรฟิวล์ และผักสลัด
 
ขออนุโมทนากับทุกๆท่านด้วยค่ะ

วันนี้ทีมงานได้ไปช่วยกันดูแลและแนะนำหลวงปู่ที่เป็นมะเร็ง ตับขั้นสุดท้าย

ณ วัดพุทธวิปัสสนา ลองบีช คุณหมอปุยสมาชิก NALS ที่เคยร่วมสัมมนา ได้ทำตามยา 9 เม็ด แล้วได้ผลกับตนเองและลูกๆ ได้แนะนำให้หลวงปู่ที่หมดแรงไม่สามารถลุกขึ้นได้ นอนแต่บนเตียง คุณปุยให้ท่านทำดีท็อกครั้งแรก ปรากฎว่่าท่านสามารถลุกขึ้นมาสวดมนต์ได้ ท่านจึงเกิดความศรัทธาและมีกำลังใจ วันนี้ทางทีมงานจิตอาสาได้ไปร่วมสมทบดูแลถึงวัด ได้สาธิตการกัวซา กดจุดลมปราณ และถวายถุงดีท้อกให้กับพระผู้ดูแลทุกรูป ถวายน้ำคลอโรฟิวล์ และผักสลัด ขออนุโมทนากับทุกๆท่านด้วยค่ะ

 

อ่านได้ที่ http://www.facebook.com/nalsusa?notif_t=fbpage_fan_invite

Blank ทิมดาบ

สวัสดีหลังจากที่่ห่างหายกันไปนานคะ

สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นอยู่ และดับไป

แต่สื่งที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนี้และครอบครัว มันช่างหนักหนาสาหัสนักคะ

เธอบอกว่า

ขอบคุณที่รับฟังเพราะทุกข์จนไม่รู้จะทุกข์ยังไงแล้ว

พยาบาลเองก็ขอบคุณเช่นกันคะ ที่แบ่งปันความรู้สึกให้ฟัง

 

 

 

 

ขอบคุณพี่แก้วมากคะ สำหรับข้อแนะนำ

Blank แก้ว..อุบล

วันนี้ติกไม้ได้เข้าไปที่ ward แต่โทรประสานงานกับน้องแล้ว

ทราบว่าหมอเจ้าของไข้ ส่งปรึกษา onco med เพื่อพิจารณาให้ยาเคมีบำบัด

ช่วงนี้คงเป็นขั้นตอนที่รอให้อาจารย์มาประเมินอีกครั้งว่าจะอย่างไร

วันพรุ่งนี้จะติดตามอีกครั้งคะ

และจะคุยกับหมออีกครั้ง ว่าจะดึงทีมอื่นๆ เข้ามาช่วยดูแลหรือไม่

 

ชีวิตยังมีความหวังจริงๆ คะ

Blank คนบ้านไกล

ตอนที่คุยกันเธอก็ยังถามอยู่เรื่อยๆ ว่า จะหายหรือไม่

เธอบอกว่า ถึงไม่หายก็ขอให้อยู่ด้วยกันไปนานๆ  อยู่แบบคนป่วยนี่แหละ

ติกเลยบอกว่า โรคหลายโรคมันไม่สามารถรักษาให้หายได้

สิ่งที่สำคัญคือ ทำอย่างไรจึงจะอยู่กับโรคได้ แบบมีความทุกข์น้อยที่สุด

ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้มากน้อยเพียงใด

เพราะตัวเราถ้าอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็คงทุกข์ไม่น้อย

  • การรับฟังทุกข์เขาก็เท่ากับแบ่งเบาความทุกข์เขาให้น้อยลง เป็นทางทำบุญที่ได้กุศลแก่ตัวเรา อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
  • ได้เจริญมรณสติตามค่ะ

ชีวิตยิ่งกว่าลคร สู้สู้ ต่อไปครับ

* ใครไม่ประสบกับตนเองบ้าง ก็คงจะไม่รู้ซึ้งถึงความทุกข์ที่เธอมีนะครับ

** อยากให้พยาบาลทุกคนเป็นเหมือนเอื้อยกระติกนะครับ

คือ เป็น "นางฟ้า" ที่เข้าใจและเข้าถึง "จิตใจ" หรือ "ความรู้สึกนึกคิด" ของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง และพร้อมที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในทุกๆ วิถีทาง

เป็นกรณีศึกษาที่เกิดความสุขภายในใจอย่างแท้จริง ขอบคุณมากครับ

อ่านแล้ว ได้แต่ นึกถึงพรหมวิหาร 4 ....ค่ะ

เมตตา  กรุณา  มุทิตา   อุเบกขา....ค่ะ

ความหมายของพรหมวิหาร 4
                พรหมวิหาร แปลว่า ธรรมของพรหมหรือของท่านผู้เป็นใหญ่ พรหมวิหารเป็นหลักธรรมสำหรับทุกคน            เป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์ หลักธรรมนี้ได้แก่

     เมตตา     ความปราถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข

     กรุณา      ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

     มุทิตา      ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี

     อุเบกขา   การรู้จักวางเฉย

คำอธิบายพรหมวิหาร 4
1. เมตตา : ความปราถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ความสุขเกิดขึ้นได้ทั้งกายและใจ เช่น ความสุขเกิดการมีทรัพย์ ความสุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์เพื่อการบริโภค ความสุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้ และความสุขเกิดจากการทำงานที่ปราศจากโทษ เป็นต้น

2. กรุณา : ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ความทุกข์ คือ สิ่งที่เข้ามาเบียดเบียนให้เกิดความไม่สบายกาย
ไม่สบายใจ และเกิดขึ้นจากปัจจัยหลายประการด้วยกัน พระพุทธองค์ทรงสรุปไว้ว่าความทุกข์มี 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

       - ทุกข์โดยสภาวะ หรือเกิดจากเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย เช่น การเกิด การเจ็บไข้ ความแก่และ
ความตายสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เกิดมาในโลกจะต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรวมเรียกว่า กายิกทุกข์

          - ทุกข์จรหรือทุกข์ทางใจ อันเป็นความทุกข์ที่เกิดจากสาเหตุที่อยู่นอกตัวเรา เช่น เมื่อปรารถนาแล้วไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ รวมเรียกว่า เจตสิกทุกข์

3. มุทิตา : ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี คำว่า "ดี" ในที่นี้ หมายถึง การมีความสุขหรือมีความเจริญก้าวหน้า ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีจึงหมายถึง ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น ไม่มีจิตใจริษยา ความริษยา คือ ความไม่สบายใจ ความโกรธ ความฟุ้งซ่านซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีกว่าตน เช่น เห็นเพื่อนแต่งตัวเรียบร้อยแล้วครูชมเชยก็เกิดความริษยาจึงแกล้งเอาเศษชอล์ก โคลน หรือหมึกไปป้ายตามเสื้อกางเกงของเพื่อนนักเรียนคนนั้นให้สกปรกเลอะเทอะ เราต้องหมั่นฝึกหัดตนให้เป็นคนที่มีมุทิตา เพราะจะสร้างไมตรีและผูกมิตรกับผู้อื่นได้ง่ายและลึกซึ้ง

4. อุเบกขา : การรู้จักวางเฉย หมายถึง การวางใจเป็นกลางเพราะพิจารณาเห็นว่า ใครทำดีย่อมได้ดี ใครทำชั่วย่อมได้ชั่ว ตามกฎแห่งกรรม คือ ใครทำสิ่งใดไว้สิ่งนั้นย่อมตอบสนองคืนบุคคลผู้กระทำ เมื่อเราเห็นใครได้รับผลกรรมในทางที่เป็นโทษเราก็ไม่ควรดีใจหรือคิดซ้ำเติมเขาในเรื่องที่เกิดขึ้น เราควรมีความปรารถนาดี คือพยายามช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ในลักษณะที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม


ไม่ได้เขียนเอง...ค่ะ    คัดลอกมาให้อ่านกัน http://www.learntripitaka.com/scruple/prom4.html

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท