วันที่ ๓๐ ส.ค. ๕๕ ผมไปบรรยายเรื่อง ทักษะแห่งอนาคต : การเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ ๒๑ ตามคำเชิญขององค์การบริหารส่วนจังหวัดยะลา ในการสัมมนา การศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของทั้งจังหวัด และมี สสค. เป็นหน่วยงานให้ทุน ๓ ล้านบาท กระตุ้นให้ดำเนินการ เป้าหมายคือ สสค. ต้องการให้เกิด area-based education reform ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะ root cause ของความด้อยคุณภาพของการศึกษาไทยคือ การศึกษาลอยตัวแปลกแยกจากชีวิตจริงของผู้คน การนำเอาการศึกษาไปอยู่ในมือหรือความรับผิดชอบของพื้นที่ จะเป็นกลไกหนึ่งที่ขยับให้การศึกษาเป็นเนื้อเดียวกับชีวิตความเป็นอยู่ การทำมาหากิน และปฏิสัมพันธ์ของผู้คน
ท่านที่สนใจคำบรรยายของผม ดูและฟังได้ที่นี่
ผมไม่ได้ออกไปดูโรงเรียนในพื้นที่ เพราะไม่มีใครชวนไปดู คงจะเป็นเรื่องความปลอดภัย เพราะดูแล้วท่านที่คอยดูแลจัดการการเดินทางของผมจะกังวลด้านความปลอดภัยมาก ท่านมาเปิดเผยภายหลังว่า ท่านพกปืนด้วย และมีการระมัดระวังเรื่องเวลาและเส้นทางการเดินทาง แต่ท่านก็พูดว่านั่งรถเก๋งของท่านนายก อบจ. ยะลา นายมุขตาร์ มะทา เป็นการรับประกันความปลอดภัยอยู่ในตัว ผมเองก็ต้องคอยรายงานตัวกับสาวน้อยว่าตอนนั้นผมอยู่ที่ไหนแล้ว รวม ๓ ครั้ง เพื่อให้เธอสบายใจ โดยที่ก่อนค่ำรถก็นำผมเข้าเขตจังหวัดสงขลา และนอนค้างที่หาดใหญ่ ๑ คืน นอกจากนั้น เช้าวันที่ ๑ ก.ย. ผมฟังข่าววิทยุจึงรู้ว่าวันที่ ๓๑ ส.ค. มีการก่อการร้ายแบบ “ป่วนเชิงสัญญลักษณ์” กว่า ๑๐๐ จุดทั่ว ๔ จังหวัดภาคใต้
ตอนเตรียมการประชุมครั้งนี้ เมื่อ อ. ณรงค์ คงเพชร ไปรายงานต่อท่านนายกมุขตาร์ ว่าจะเชิญผมไปพูด ท่านนายกถามว่า “ท่านจะมาหรือ” ดังนั้น เมื่อผมไปอย่างไม่กังวลใดๆ ทางยะลาจึงดีใจกันมาก
แต่จริงๆ แล้ว การไปร่วมการประชุมครั้งนี้ผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดคือผม
ผมได้เข้าใจว่าสิ่งที่เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงระบบการเรียนรู้ในโรงเรียนมากที่สุดคือสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน ที่ก่อผลกระทบและสร้างตัวตนแบบใหม่แก่เด็กไทย เด็กไทยในศตวรรษที่ ๒๑ ไม่เหมือนเด็กไทยสมัยก่อน พวกครูที่มาประชุมบอกผมว่า ประมาณ ๑ ใน ๓ ของเด็กในโรงเรียนเป็นเด็กที่กำลังเผชิญปัญหาทางสังคม หรือปัญหาชีวิต ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขผลการวิจัยของ สสค. ที่นี่ และ ที่นี่
กล่าวใหม่ว่า เด็กไทย ๑ ในสามมีทุนชีวิตติดลบ และเด็กไทยทั้งหมด อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ที่ชักจูงเด็กไปในทางเสื่อมได้ง่าย ทั้งหมดนั้นเป็นสภาพติดลบด้านการเรียนรู้ทักษะชีวิต
น่าตกใจนะครับ ที่ เด็กไทยทั้งประเทศอยู่ในสภาพติดลบด้านทักษะชีวิต
ทำให้ผมคิดต่อ ว่าเด็กสมัยผมเมื่อ ๖๐ - ๗๐ ปีก่อน ที่ชีวิตเต็มไปด้วยความขาดแคลน กลับเป็นชีวิตวัยเด็กที่ดีกว่าสมัยปัจจุบัน คือมีมลพิษทางสังคมน้อยกว่ามาก เด็กสมัยนี้ต้องเติบโตขึ้นมาโดยมีมลพิษทางสังคมเป็นตัวหล่อหลอมด้วยส่วนหนึ่ง และสำหรับเด็กอย่างน้อย ๑ ในสาม ระบบการศึกษาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ระบบการศึกษาไทยพ่ายแพ้มารสังคม ที่เป็นมารต่อเด็ก อย่างน้อยก็เมื่อมองจากชีวิตเด็ก ๑ ใน ๓ ของเด็กทั้งหมด
หรือว่าจริงๆ แล้ว พ่ายแพ้ทั้ง ๑๐๐%
หรือว่าจริงๆ แล้ว ครูจำนวนไม่น้อยก็พ่ายแพ้ด้วย
คงเป็นเพราะไปไกลถึงยะลา รำพึงรำพันของผมจึงเตลิดไปไกล
ระบบการศึกษาที่ช่วยกอบกู้ ปลดแอก ชีวิตผู้คนจากมลพิษทางสังคมที่แผ่ซ่านปกคลุมสังคมอยู่ทั่วทุกหัวระแหง เป็นอย่างไร
เราจะจัดการศึกษา เพื่อสร้างพลังภูมิคุ้มกันชีวิตเด็ก และผู้คนทั้งประเทศ ไม่ให้ถูกพิษร้ายนี้ทำลาย ได้อย่างไร
ทำให้ผมนึกถึงภาพปริศนาธรรม ในโรงมหรสพทางวิญญาณ ที่สวนโมกข์ ที่บอกให้เรามีชีวิตอยู่ในโลกเหมือนลิ้นงูอยู่ในปากงู เพราะลิ้นงูรู้เท่าทัน จึงอยู่ในปากงูได้อย่างปลอดภัยจากพิษร้ายที่เขี้ยวงู ไม่โดนเขี้ยวงู มนุษย์ก็ต้องเรียนรู้และฝึกฝนทักษะการดำรงชีวิต สามารถอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยมลพิษ โดยไม่โดนพิษร้าย
เราต้องจัดการเรียนรู้ฝึกฝนทักษะนี้ให้แก่เด็กไทยทุกคน ทั้งผ่านการเรียนรู้ในระบบการศึกษาตามปกติ และผ่านการเรียนรู้ในชีวิตประจำวัน
และไม่ใช่เฉพาะเด็กเท่านั้นที่ต้องเรียนบทเรียน หรือทักษะ นี้ ทุกคน (รวมทั้งผม) ก็ต้องหมั่นเรียนรู้ฝึกฝนตลอดชีวิต เพราะพิษร้ายทางสังคมนั้น มันแปลงร่างได้ เหมือนอสูรแปลงร่างในรามเกียรติ นั่นเอง
วิจารณ์ พานิช
๓๑ ส.ค. ๕๕ ปรับปรุง ๑ ก.ย. ๕๕
ไม่มีความเห็น