สสส. จัดตั้งแผนงาน โครงการจัดตั้งสถาบันนักบริหารงานทางสังคม ผมมีโอกาสเป็นกรรมการกำกับทิศของโครงการ ทำให้ได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่อง social enterprise และเรื่อง Social Enterprise Academy ที่กำลังเป็นแฟชั่นในโลกอยู่ในขณะนี้ อ่านได้ที่ ๑, ๒ และเว็บไซต์อื่นๆ อีกมากมาย อ่านเว็บไซต์เหล่านี้แล้ว ผมนึกถึงเมื่อ ๑๐ ปีก่อนที่ผมเริ่มทำงานเรื่อง KM ตอนนั้น KM ก็กำลังเป็นแฟชั่นเหมือน SE กำลังเป็นแฟชั่นอยู่ในขณะนี้
ผมเดาว่าสิ่งที่เป็นแฟชั่นทั้งหลายมีธรรมชาติเหมือนกันหมด คือมีคนตามแห่มาก และเข้าป่าเข้าดงหลงทางไปก็จะมากด้วย
เมื่อเรื่องใดเป็นแฟชั่น ก็จะมีผู้ตั้งหน่วยงานหรือสถาบันขึ้นมาทำมาหากินกับการจัดอบรม หรือทำงานพัฒนาเรื่องนั้นๆ เช่นสถาบันพัฒนานักบริหารงานทางสังคมตามลิ้งค์ทั้งสอง
และเมื่อเข้าเว็บที่ ๒ ผมก็ชะงัก ที่เห็นรูปการอบรมเป็น classroom หราอยู่ แถมยังบอกด้วยว่า "ASE creates training and mentoring programs”ที่ชะงักก็เพราะผมไม่เชื่อไม่ศรัทธาในการพัฒนาแบบเน้น training ผมเชื่อใน learning มากกว่า
ดังนั้น ผมจึงแนะนำ สคส. ผู้ได้รับมอบจาก สสส. ให้ดำเนินการโครงการจัดตั้งสถาบันนักบริหารงานทางสังคม ว่า ควรพิจารณาสัดส่วนระหว่าง Learning Mode : Training Mode ให้ดี และควรพิจารณาลักษณะของบุคคลที่ สสส. ส่งมาเข้ากระบวนการด้วย ว่ามีธรรมชาติเป็นคนแบบไหน น่าจะแบ่งกลุ่มคนที่ชอบ Learning Mode กับกลุ่มคนที่ชอบ Training Mode โดยต้องทำความเข้าใจกับทาง สสส. และคณะกรรมการกำกับทิศว่า หากเขาส่งเต่ามาให้เราฝึกบิน แล้วเรารับ เขาก็ไม่ควรเลือกเราให้รับทำงานนี้ เพราะเราโง่เกินไป
ทำให้ผมนึกต่อได้ว่า ต้องพัฒนาตัววัดทักษะที่จำเป็นสำหรับตรวจสอบขีดความสามารถได้ด้วยตนเอง และมีตัววัด ๒ ชุด คือชุดสำหรับระดับ manager กับระดับ worker โดยต้องย้ำว่าเป็นการวัดทักษะ คือวัดว่าทำได้ ทำได้ผลจริง ไม่ใช่วัดความรู้ นี่คือวิธีการแก้ปัญหากรณีส่งเต่ามาฝึกบิน เราก็จัดตัวชี้วัดสำหรับเต่า
ตัวชี้วัดนี้ ควรค่อยๆ พัฒนาขึ้นโดยการมีส่วนร่วม โดยการลงมือทำ และโดยผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการชี้ทิศทาง ถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนเรียนรู้ในโครงการ
ผมอ่านรายงานการประชุมคณะกรรมการกำกับทิศครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๒ มิ.ย. ๕๕ (ซึ่งผมไม่ได้เข้าประชุม) แล้ว เห็นว่าคุณอ้อม (อุรพิณ ชูเกาะทวด) ผู้รับผิดชอบโครงการของ สคส. ได้เตรียมการมาอย่างดี แต่ผมก็ยังเห็นว่าควรเพิ่มหลักสูตรอีก ๒ หลักสูตร คือ (1)F&F คือ Finance Management และ Funding Management ซึ่งรวมทั้ง Self-funding ด้วย เพราะเป้าหมายสำคัญของ social enterprise คือขีดความสามารถที่จะทำงานต่อเนื่องยั่งยืนโดยไม่ต้องพึ่งพาแหล่งทุนภายนอก และ (2) Entrepreneurship หรือทักษะในการเป็นผู้ประกอบการ
โดยต้องย้ำว่า คำว่า “หลักสูตร” นั้น แตกต่างจากหลักสูตรทั่วไปที่เน้น training แต่ผมเสนอให้เน้น learning เพื่อให้ผู้เข้าโครงการไปเรียนรู้พัฒนาตนเองต่อเนื่องได้อีก
ผมมองว่า ผู้ประกอบการทางสังคม พัฒนาได้จากฐานเดิม ๒ แบบ คือจากฐานที่เป็น เอ็นจีโอ หรือนักพัฒนา กับฐานเดิมที่เป็นนักธุรกิจ ผมคิดว่า โครงการฯ ควรเสาะหาคนในฐานหลังนี้มาเข้าโครงการให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดการ ลปรร. จากคน ๒ กลุ่มนี้ เข้าใจว่าเวลานี้ผู้เข้าร่วมโครงการมาจากฐานแรกทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด
วิจารณ์ พานิช
๒๑ ส.ค.๕๕
การทำงานแบบ training mode มันดูเหมือนว่าจะตอบโจทย์ เพราะว่าเห็นผลในระยะสั้นว่าได้ลงมือทำอะไรบางอย่าง แต่ความจริงแล้วผลการเปลี่ยนแปลงต้องรอเวลา และบางที่อาจมีผลอย่างอื่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นด้วย
learning mode สำหรับผมเน้นการลงมือทำอย่างจริงจัง และทบทวนสม่ำเสมอ...ผู้จัดการเรียนรู้ บางครั้งหากเป็นผู้รับงาน ก็อาจลำบาก ที่จะปฏิเสธความต้องการของหลายฝ่าย และจนแต้มด้วยเงื่อนไข ต่างๆตามที่กำหนด .... อยากให้ผู้ที่รับผิดชอบ มองผลระยะยาว ให้มากๆ และคงต้องคุยกันเยอะ กว่าจะลงตัว เป็นกำลังใจให้ทุกฝ่ายที่จะร่วมสร้างสิ่งดีเหล่านี้ให้เกิดขึ้นในสังคม.