แด่ชีวิตราชการ
มีสัจธรรมอยู่ข้อหนึ่ง “สรรพสิ่งใดในโลกนี้ล้วนเป็นอนิจจัง” มีจุดเริ่มต้นย่อมมีจุดสิ้นสุด เฉกเช่นเดียวกับชีวิตราชการซึ่งมีวันเริ่มต้นก็ย่อมมีวันสิ้นสุดจากชีวิตราชการหรือที่พวกเราเรียกว่าเกษียณอายุราชการ ผมเชื่อว่าทุกคน ณ ที่นี้ ต้องมีความรู้สึก ๒ อย่างต่อท่านที่เกษียณอายุราชการ
๑. ท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถที่ฝันฝ่าอุปสรรคขวางหนามต่างๆมาตลอดอายุราชการ ๓๐-๔๐ ปี จนมาถึงวันนี้โดยไม่ถูกลงโทษ(ให้ออกก่อนกำหนด)
๒. ท่านไม่ต้องวิตกกังวลกับปัญหาต่างๆ จากหน้าที่การงาน ไม่ต้องกังวลว่า วันพรุ่งนี้จะมีประชาชนมาประท้วง ไม่ต้องกังวลว่าน้ำจะท่วม ไม่ต้องกังวลว่าผู้บังคับบัญชาจะตำหนิ ไม่ต้องกังวลว่าลูกน้องจะนินทา ต่อไปท่านจะมีเวลาผักผ่อน ได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำ
ผมว่าท่านทราบดีและทราบซึ่งถึงรสชาติและความยากลำบากในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน” โดยเฉพาะข้าราชการที่ไม่ได้อยู่ ณ ถิ่นที่ตั้งของครอบครัว ต้องเดินทางบ่อยๆ จนมีคำล้อกันว่า “ชีวิตราชการวันจันทร์-ศุกร์ ภรรยาเป็นหม้าย” นั้นคืออะไร นั้นเป็นเพราะว่าชีวิตที่เปี่ยมทั้งชีวิตกล่าวได้ว่าท่านอุทิศให้กับงานมีทั้ง ทุกข์ สุข ดี และไม่ดีคละเล้ากันไป แต่สิ่งต่างๆเหล่านี้หล่อหลอมให้ท่านเป็นนักสู้ ท่านเป็นขุมพลังเพื่อความผ่าสุขของประชาชน ในที่สุดวันครบกำหนดอายุราชการของท่านก็เดินทางมาถึง
แต่สำหรับผมมีความรู้สึกเสียดาย ก็คือบุคคลเหล่านี้ที่มีความรู้ ความสามารถ อีกทั้งยังมีสุขภาพที่ดีแข็งแรง ท่านยังสามารถทำประโยชน์ต่อประเทศชาติได้อีกมากมาย ท่านมีความปรารถนาให้บ้านเมือง..พี่น้องประชาชนมีความสุข ความปรารถนาของพวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจะเพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดมาตั้งแต่เริ่มในการบรรจุครั้งแรกของท่าน และเมื่อท่านมีหน้าที่ปฎิบัติบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อรับใช้แผ่นดินเกิด จึงทำให้พวกเราอยู่สุขสบายตามสภาพที่เรานั้ง เดิน ยืน นอน ณ ปัจจุบัน พวกเขาให้ความปรารถนาดี ความรัก ความมีเมตตา ความทุ่มเท ให้ความเชื่อมั่น ให้กำลังใจ ให้ความไว้วางใจ ตามความปรารถนาของท่านให้บ้านเมือง...พี่น้องประชาชนมีความสุข
แล้วนับจาก ๑ ตุลาคม พวกเราล่ะจะให้ความสำคัญต่อพวกท่านเพียงใดต่อบุคคลผู้ทรงคุณค่าเหล่านี้
ท่านเหล่านั้นคือปูชนียบุคคลที่สำคัญ ประสบการณ์ที่ท่านได้สั่งสมมา หากผู้ใดได้เรียนรู้จากท่าน ย่อมได้เปรียบค่ะ