ระบบการศึกษาที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ได้แก่ระบบโรงเรียนนั้น ได้ไปกดทับระบบความรู้ในวิถีชุมชนเดิมที่ได้ช่วยให้สังคมนี้อยู่รอดมาจนทุกวันนี้ ด้วยพิธีกรรมในรูปของประกาศนียบัตร ใบรับรอง และปริญญาบัตร จนในที่สุดได้มีการจำแนกความฉลาดด้วยกระดาษเหล่านั้น การยกย่องนับถือสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยเพียงทราบระดับที่ระบุไว้ในกระดาษเหล่านั้น ก่อนที่จะถูกต่อยอดให้ยิ่งใหญ่ด้วยความสามารถเล็กๆ ปกติธรรมดา ต่างจากผู้ไร้กระดาษรับรองที่นับวันก็จะยากที่จะได้มาซึ่งการเคารพยกย่อง ความรู้ความสามารถจากผู้รู้ในสังคมชุมชนเมื่อถูกกดทับนานไปก็จะเลือนหายไป เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่ได้รักษาไว้ ความรู้นอกสถาบันการศึกษาเหล่านี้ ต้องการให้มีการจัดการที่เหมาะสม ทำอย่างไรชาวนาผู้ชำนาญการ จึงจะได้รับการยกย่องและผลตอบแทนที่สาสมกับความสามารถของพวกเขา โจทย์ปัญหานี้กำลังรอคำตอบ จากผู้รู้ทั้งหลาย หรือใครจะละเลย ก็เท่ากับช่วยกันกดทับสิ่งที่มีคุณค่าเหล่านั้นให้จมหายไป
ระบบการเรียนรู้ด้วยวิธีเชิงปฏิบัติ น่าจะสามารถช่วยเยียวยาปัญหาเหล่านี้ได้บางส่วน เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสามารถและความรู้อันทรงพลังจากสังคมชุมชน ให้ถ่ายทอดมาสู่เยาวชนรุ่นหลังอย่างมีความหวัง การถ่ายทอดความรู้ความสามารถในระบบโรงเรียนนั้น ภาคทฤษฎีไม่ได้ช่วยให้เกิดการถ่ายทอดได้มากนัก หากต้องการทำให้ดีต้องมีเป้าหมายเพื่อสร้างให้รู้ทฤษฎีที่จะใช้เป็นฐานเพื่อการถ่ายทอดความรู้แฝง ให้คงอยู่และทรงประโยชน์ในสังคมนี้ต่อไป
ความรู้ที่ได้จาการปฏิบัติ ผู้รับความรู้ต้องลงมือปฏิบัติ โดยธรรมชาติแล้วจะใช้เวลามาก จะต้องเพิ่มขีดความสามารถในการเรียนรู้วิธีนี้ด้วยการติดอาวุธทางปัญญา ทั้งในเชิงปรัชญาและเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยีในการจัดการความรู้ และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ใครมีแนวคิดดีในเรื่องนี้ มาแบ่งปันกันหน่อยครับ ขอบคุณมาก
สวัสดีค่ะ แวะมาทักทายเพื่อนครูค่ะ (มศว)