หน้าฝนพายุแรงทำให้คณะกรรมการหมู่บ้านต้องจ้างคนงานมาทำการตัดต้นแคริมรั้ว เพราะกิ่งต้นแคป่าได้เกี่ยวกับสายไฟกลัวจะเกิดอันตรายได้
ทำให้นึกถึงภาพเก่ากวีบทเดิม ดอกแคป่า
ภาพกิ่งใบอันเขียวชอุ่ม ให้ร่มเงาและบดบังภาพอันไม่พึงประสงค์ด้านหลัง
ตอนนี้เหลือแค่ตอ เปลือยให้เห็นความเป็นเมืองอยู่ด้านหลัง
ลาแล้วแคป่า
ดอกเอ๋ยดอกแคป่า
เจ้ามาจากท้องนาไหน
บัดนี้ถูกตัดกิ่งใบ
เหลือไว้ให้เห็นเป็นตอ
หมดแล้วดอกขาวที่เคยเด่น
จำเป็นน้อยกว่าไฟที่ขอ
จะเจออีกนานคงต้องรอ
แตกกิ่งต่อใบไปอีกปี
เจ้าคงคิดถึงบ้านคลองท้องทุ่ง
ป้าลุงไม่เคยคิดเยี่ยงนี้
มีตะเกียงแสงสวยพอดี
ไม่มีไฟฟ้ามาคอยเปลือง
หน้าฝนเจ้าเบ่งดอกอวด
ประกวดประชันกันลือเลื่อง
ทั้งป่าทั่วทุ่งรุ่งเรือง
มิขัดเคืองใครแข่งแย่งเป็นดาว
แต่พอมาอยู่กรุงเทพฯ
เขาเหน็บเขาคอยยุเจ้า
เป็นเพียงไม้ประดับชั่วคราว
ปวดร้าวอยากกลับคืนนา
จึงว่า... ดอกเอ๋ยดอกแคป่า
เกิดมาอีกชาติภพหน้า
ขออยู่ดงดอนท้องทุ่งนา
โบกอำลาเมืองฟ้าศิวิไลย์
............................
ในวันที่ดอกแคร่วงโรย
28 สิงหาคม 2555
พ. แจ่มจำรัส
เห็นถูกตัดแล้วน่าสงสาร...สงสัยแคป่านาจะไปอยู่ที่ป่า...มากกว่าป่าในกรุงนะครับ
น่าสงสารจริง ๆ ค่ะ เวลาเห็นหน่วยตัดต้นไม้แล้วเศร้าทุกที ประเทศไทยน่าจะมีทางออกสำหรับเรื่องนี้ (บ่นแต่ตัวเองก็คิดไม่ออกค่ะ)
เห็นแล้วรู้สึกปวดใจจัง
การตัดง่ายนะคะ แต่กว่าต้นไม้จะโตใช้เวลามาก หวังว่าเขาคงแผ่กิ่งก้านอีกในเร็ววันค่ะ
ใจหายนะคะ...อยู่ผิดที่ เวลาเห็นต้นไม้ถูกตัด ก็นึกถึงว่าร่มไม้ไม่มี ที่พึ่งหลบแดดไม่มี...สิ่งดี ๆ เหล่านี้ คงมีค่าน้อยเกินไป สำหรับคนที่คิดจะตัดไม้...
ถ้าเขาพูดได้ก็คงเสียใจมิใช่น้อยค่ะ ที่เห็นเขาไร้ค่า
ชีวิตคนเรา ก็เหมือนกับดอกแคป่านะครับ เกิดขึ้น เบ่งบาน และร่วงโรย อะไรเล่า คือ ความแตกต่าง?