ลักษณะของการสอนรูปแบบโครงงาน
สาระสำคัญของการสอนแบบโครงงาน
กระบวนการแก้ปัญหา
เป็นกระบวนการที่ต้องให้เด็กคิด หาวิธีแก้ปัญหา โดยครูมีหน้าที่กระตุ้นให้เด็กเกิดความคิดในการที่จะหาวิธีการแก้ปัญหาตามวิธีการของเด็ก รวมทั้งเป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติค้นหาคำตอบของปัญหา มีขั้นตอนดังนี้
1.เด็กสังเกต ศึกษาข้อมูล รับรู้และทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่จนสามารถสรุปและกำหนดประเด็นปัญหาขึ้นได้
2.เด็กอภิปรายหรือแสดงความคิดเห็นเพื่อตระหนักในความสำคัญของปัญหา
3.เด็กสร้างทางเลือกในการแก้ปัญหา ด้วยการตั้งสมมติฐาน
4.เด็กตรวจสอบสมมติฐาน ด้วยการลงมือปฏิบัติค้นหาคำตอบ
2. สาระที่เป็นเนื้อหาการเรียนรู้ เป็นเนื้อหาตามหัวข้อโครงงาน ที่เกิดจากความสนใจจากการเลือกของเด็ก แล้วร่วมกันกำหนดเป็นหัวข้อโครงการที่จะศึกษา
ขั้นตอนและกิจกรรมการเรียนการสอน
การสอนแบบโครงการ แบ่งเป็นระยะ 3 ระยะใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการ ระยะที่ 2 พัฒนาโครงงาน ระยะที่ 3 รวบรวมสรุป รายละเอียด ขั้นตอน และกิจกรรมในแต่ละระยะเป็นดังนี้
ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงงาน
เป็นระยะที่ครูผู้สอนสังเกต/สร้างความสนใจ ในเรื่องที่จะเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในตัวเด็ก แล้ะวตกลงร่วมกันเลือกเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อทำการศึกษาอย่างลุ่มลึก เรื่องที่ถูกเลือกจะถูกกำหนดให้เป็นหัวข้อโครงการในระยะที่ 1 นี้ มีขั้นตอนซึ่งอาจจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ อยู่ 2 ขั้นตอนใหญ่ๆ คือ
- ครูนำวัตถุสิ่งของที่น่าสนใจเข้ามาในห้องเรียนเปิดโอกาสให้นักเรียนสังเกตอย่างใกล้ชิด ครูกระตุ้นให้เด็กสังเกตในรายละเอียดของสิ่งนั้น
- หรือจากสถานการณ์ การเรียนการสอนปกติ ครูกระตุ้นให้เด็กสังเกตสิ่งของหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อครูสังเกตเห็นว่าเด็กสนใจในเรื่องราวใด ครูนำเรื่องราวนั้นมาอภิปรายร่วมกับเด็ก ให้เป็นผู้เลือกว่าจะศึกษาหรือเรียนรู้เรื่องใด เมื่อได้เรื่องที่ทุกคนเลือก กำหนดเรื่องนั้นให้เป็นหัวข้อโครงการ หากยังไม่พบความสนใจของเด็ก ครูยอมรับเขา ให้เวลาเขาสังเกตสิ่งอื่นที่เขาสนใจ
- นำเรื่องที่เด็กสนใจมาอภิปรายร่วมกัน
- กำหนดเรื่องนั้นให้เป็นหัวข้อโครงการ
- เด็กแลกเปลี่ยน/นำเสนอ ความรู้เดิมเกี่ยวกับหัวข้อโครงการ ด้วยการเล่าเรื่อง สังเกตสิ่งของ สนทนา วาดภาพ หรือทำงานศิลปะอื่นๆ
ระยะที่ 2 พัฒนาโครงงาน
เด็กกำหนดหัวข้อคำถาม หรือประเด็นปัญหาที่เด็กอยากรู้ เกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขาช่วยกันกำหนดเป็นหัวข้อโครงการ แล้วตั้งสมมติฐานมาตอบคำถามเหล่านั้น ทดสอบสมมติฐานด้วยการลงมือปฏิบัติ จนพบคำตอยด้วยตนเอง ในระยะที่ 2 นี้ มีขั้นตอนซึ่งจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ตามกระบวนการแก้ปัญหาอยู่ 5 ขั้นตอนใหญ่ๆ คือ
1.เด็กกำหนดปัญหาที่จะศึกษา มีกิจกรรมหลักๆ คือ เด็กๆร่วมกันอภิปราย เกี่ยวกับหัวข้อโครงงาน เพื่อตรวจสอบประเด็นที่อยากจะรู้ แล้ะวร่วมกันกำหนดเป็นคำถามหรือปัญหาที่เด็กอยากรู้แล้วอภิปรายเกี่ยวกับปัญหาที่กำหนดขึ้นเพื่อให้ตระหนักในความสำคัญของปัญหาร่วมกัน
ประเด็นปัญหาที่เด็กกำหนดขึ้นเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่การลงมือค้นหาคำตอบด้วยตัวเด็กเอง ขั้นตอนนี้ครูต้องแสดงบทบาทที่จะช่วยให้เด็กเลือกประเด็นปัญหาที่ง่ายจนเกินไป หรือยากจนเกินกว่าที่ความสามารถของเด็กในวัยนี้จะทำได้
2.เด็กตั้งสมมติฐานเบื้องต้น เด็กตอบคำถาม (ตั้งสมมติฐาน) โดยใช้ความรู้เดิมที่มีอยู่ ครูจะต้องช่วยกระตุ้นความคิดของเด็กให้ขยายคำตอบหรือสมมติฐาน ให้เป็นสมมติฐานที่สามารถดำเนินการตรวจสอบได้ ในขั้นตอนนี้ ครูจะจัดทำป้ายแสดงเรื่องราวของการทำโครงงาน ของเด็กแสดงไว้ในห้องเรียน
3.เด็กทดสอบสมมติฐานเบื้อต้น ครูเตรียมวัสดุอุปกรณ์ สถานที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เพื่อให้เด็กดำเนินการทดสอบสมมติฐานของพวกเขา ควรดำเนินการทดสอบสมมติฐานทุกสมมติฐาน ครูถ่ายภาพขั้นตอนการทำงาน บันทึกคำพูดเกี่ยวกับการทำงานของเด็กไว้ เพื่อจัดทำป้ายแสดงเรื่องราว และเป็นข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กเพื่อสะสมไว้ในแฟ้มสะสมผลงานของเด็ก
4.เด็กตรวจสอบผลการทดสอบสมมติฐาน
4.1 กรณีที่ผลการตรวจสอบไม่เป็นไปตามสมมติฐาน เก็แสงหาความรู้เพิ่มเติม อาจจะจากการไปทัศนศึกษาแหล่งความรู้เบื้องต้น การเชิญวิทยากร หรือกิจกรรมอื่นๆ แล้วกระตุ้นให้เด็กๆตั้งสมมติฐานขึ้นมาใหม่
4.2กรณีที่ผลการตรวจสอบเป็นไปตามสมมติฐาน เด็กสรุปองค์ความรู้จากการที่เขาค้นพบคำตอบด้วยการลงมือปฏิบัติของเขาเอง
5.เด็กสรุปข้อความรู้จากผลการตรวจสอบสมมติฐาน เมื่อได้องค์ความรู้ใหม่แล้ว เด็กอาจจะนำองค์ความรู้นั้นไปใช้ในการทำกิจกรรมตามความสนใจของเขา เช่น ในโครงงาน ก่อสร้าง เด็กนำความรู้ที่ได้มาสร้างงานก่อสร้างในห้องเรียน เป็นต้น หรือ เด็กอาจจะใช้ความรู้ที่ค้นพบเป็นพื้นฐานของการกำหนดประเด็นปัญหาขึ้นมาใหม่เพือกำหนดเป็นโครงการย่อย ศึกษารายละเอียดในเรื่องนั้นต่อไป เช่น ในโครงงานกระดาษ ทำกระดาษ เด็กค้นพบวิธีทำกระดาษแล้ว เด็กกำหนดปัญหาขึ้นไม่ว่า กระดาษสีทำอย่างไร
ระยะที่ 3 รวบรวมสรุป
เป็นระยะสุดท้ายของโครงการ เมื่อเด็กค้นพบคำตอบของปัญหาแล้ว และเด็กได้แสดงให้ครูเห็นว่า ได้สิ้นสุดความสนใจในหัวข้อโครงการเดิม และหันเหความสนใจออกไปสู่เรื่องใหม่ ระยะนี้เป็นระยะที่ครูและเด็กๆ จะได้แบ่งปันประสบการณ์การทำงาน และแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการทำงานตลอดโครงงานแก่คนอื่นๆ มีกิจกรรมที่ดำเนินในขั้นตอนนี้ ดังนี้
ครูสังเกตความสนใจของเด็กที่หันเหออกไป แล้วนำอภิปรายถึงวิธีการทำงาน ผลของงาน แล้วจัดแสดงผลงานตลอดโครงงาน อาจมีการเชิญเพื่อนๆ ฟ้องอื่นๆ มาชมผลงาน เชิญผู้ปกครอง ถ้าเป็นไปได้ และครูจะสังเกตความสนใจใหม่ที่เกิดขึ้น เพื่อกำหนดเป็นหัวข้อโครงการใหม่ที่จะศึกษาต่อไป
การประเมินผลการเรียนการสอน
กระบวนการประเมินผล เป็นกระบวนการสังเกตพฤติกรรมที่เกิดขึ้นตลอดเวลาของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ใช้บันทึกคำพูดของเด็ก เก็ยรวบรวมผลงานของเด็กมุ่งเน้นที่ความต้องการ การช่วยเหลือและการประสบความสำเร็จของผู้เรียนแต่ละคน ไม่ใช่การประเมินผลที่มุ่งให้คะแนนผลการทำงาน และจัดลำดับที่เปรียบเทียบในกลุ่ม
ตัวอย่างการโครงการ “ผักกาดดอง”
ระยะที่ 1
ระยะเริ่มต้นโครงการ
จากการทำโครงการในครั้งนี้ เริ่มจากการที่นักเรียนได้เรียนรู้เรื่อง “พืชผักสวนครัว” ทำให้นักเรียนได้รู้จักผักชนิดต่างๆมากมายและผักแต่ละชนิดก็มีสรรพคุณที่ต่างกัน นักเรียนแต่ละคนก็ได้แสดงความคิดเห็นและเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับผักที่ตนเองชอบและเคยรับประทาน ซึ่งความคิดก็แตกต่างกันออกไป คุณครูจึงได้ทำโครงการเกี่ยวกับผักสวนครัว โดยให้นักเรียนเป็นคนเลือกว่าอยากจะเรียนรู้ผักอะไร
น้องข้าวโอ๊ต : โอ๊ตอยากรู้ผักคะน้าเพราะเคยเห็นแม่ทำ
น้องเจ้านาย : เรียนผักบุ้งดีกว่าโตไว
น้องภูฟ้า : ภูฟ้าชอบแตงกวาอร่อยดี
น้องน้ำขิง : ที่บ้านขิง คุณพ่อปลูกผักขายมีผักกาดด้วยขิงเคยช่วยรดน้ำ
น้องเกรซ 2 : กะเพราก็มีค่ะนำมาผัดมีกลิ่นหอม
นักเรียนก็ได้เสนอชื่อผักต่างๆมา คุณครูจึงใช้วิธีการลงคะแนนเสียงในชั้นเรียนจากจำนวนนักเรียน 39 คน ได้ดังนี้ ผักบุ้ง 5 คะแนน ผักคะน้า 7 คะแนน ผักกาด 18 คะแนน แตงกวา 7 คะแนน กะเพรา 2 คะแนน คุณครูจึงสรุปจากการลงคะแนนเสียงส่วนใหญ่นักเรียนเลือกที่จะอยากเรียนรู้เรื่อง ผักกาด ด้วยคะแนนเสียงที่มากที่สุด
จากการที่นักเรียนได้เลือกที่จะเรียนเรื่อง ผักกาด จึงได้มีการสืบค้นข้อมูลของผักกาดจากสถานที่ สื่อต่างๆจากหนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต จากการสอบถามผู้ปกครองและนำมาแลกเปลี่ยนความรู้กันในชั้นเรียนร่วมกับเพื่อนๆและคุณครู นอกจากนี้ภายในห้องเรียนคุณครูยังได้จัดการเรียนรู้ภายในห้องเรียนมีการจัดมุมความรู้ต่างๆให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้า เช่นรูปภาพผักกาดชนิดต่างๆ ผลผลิตจากผักกาด ข้อมูลเกี่ยวกับสรรพคุณของผักกาด นอกจากนี้นักเรียนยังได้สัมผัสลองชิมผักกาดของจริง มีการเปรียบเทียบลักษณะของผักกาดแต่ละชนิดว่าแตกต่างกันอย่างไร มีการจัดกิจกรรมที่ครูทำร่วมกับนักเรียน เช่น การร้องเพลง “ปลูกผัก” พร้อมทำท่าประกอบ การเล่านิทานและให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น การสร้างผลงานศิลปะจากการวาดภาพผักกาดในฝัน และการลงมือปลูกผักกาดเอง และนำผักกาดที่ได้มาแปรรูปเป็นผักกาดดอง นับว่าเป็นกิจกรรมที่สนองความต้องการของนักเรียนในการเรียนรู้เรื่อง ผักกาด ได้อย่างดียิ่งและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
นักเรียนได้เรียนรู้วิธีการปลูกผักกาดและการดูแลผักกาดอย่างถูกวิธี และเรียนรู้วิธีที่จะนำผักกาดที่เหลือไปแปรรูปเป็นผักกาดดอง ทำให้ผักกาดอยู่ได้นาน และช่วยกันหาว่าผักกาดชนิดไหนที่จะนำมาทำผักกาดดองได้
ระยะที่ 2
ระยะพัฒนาโครงการ
กำหนดปัญหา : ผักกาดชนิดไหนที่สามารถนำมาทำผักกาดดองได้
ตั้งสมมติฐาน
กลุ่มที่ 1 ผักกาดขาว
กลุ่มที่ 2 ผักกาดเขียว
กลุ่มที่ 3 ผักกาดหอม
กลุ่มที่ 4 ผักกาดแก้ว
กลุ่มที่ 1 ผักกาดขาว
รายชื่อสมาชิก
1. น้องเกรซ 1 6. น้องแซน
2. น้องแป้ง 7. น้องน้ำขิง
3. น้องดีด้า 8. น้องม่อน
4. น้องพีท 9. น้องโมโม
5. น้องข้าวโอ๊ต 10. น้องภูมิ 1
กลุ่มที่ 2 ผักกาดเขียว
รายชื่อสมาชิก
1. น้อง ออม 6. น้องภูมิ 2
2. น้อง ลากูน่า 7. น้องภูธน
3. น้อง เพลง 8. น้องบีม
4. น้อง เกรซ 2 9. น้องแจ๊กกี้
5. น้อง น้ำต้น 10. น้องภูฟ้า
กลุ่มที่ 3 ผักกาดหอม
รายชื่อสมาชิก
1. น้องเตเต้ 6. น้องซี 2
2. น้อง ชัญญ่า 7. น้องกีตาร์
3. น้อง ไอวี่ 8. น้องเจ้านาย
4. น้อง ณัช 9. น้องนีม
5. น้องไอเดีย 10.น้องซี 1
กลุ่มที่ 4 ผักกาดแก้ว
รายชื่อสมาชิก
1. น้องอุ๋ม 6. น้องปราชญ์
2. น้อง ฟ้า 7. น้องนัท
3. น้อง แพนเค้ก 8. น้องกิมหยู
4. น้อง แดเนียล 9. น้องนล
5. น้อง มิ๊กกี้
ทดสอบสมมติฐาน
กลุ่มที่ 1 ผักกาดขาว
ทดลองทำผักกาดดอง
อุปกรณ์
1. ผักกาดขาว
2. เกลือ
3. น้ำ
4. ตราชั่ง
5. ขวดโหล
วิธีการทำผักกาดดอง
1. นำผักกาดขาวมาล้างน้ำให้สะอาดและนำผักไปตากแดดให้เหี่ยว
2. นำผักกาดขาวที่ได้มาเคล้ากับเกลือ
3. ต้มน้ำเกลือ (เกลือ 75 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร) ให้เดือดทิ้งไว้จนเย็น
4. นำผักกาดขาวใส่ขวดโหลที่เตรียมไว้ ใส่น้ำเกลือจนท่วมผักกาดขาว จากนั้นปิดฝาให้สนิท ทิ้งไว้ 10 – 15 วัน จึงจะรับประทานได้
ระยะเวลาทดลอง
เริ่มวันที่ 6 กันยายน 2553
สิ้นสุดวันที่ 19 กันยายน 2553
ผลการทดลอง
ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะ ผักกาดที่นักเรียนนำมาดองนั้น คือ ผักกาดขาว
ระยะเวลาที่ใช้ดองรวมเวลาทั้งสิ้น 14 วัน ปรากฏว่า ผักกาดขาวที่นักเรียนนำมาดองนั้น
ไม่เปลี่ยนสี ยังคงลักษณะเดิม น้ำก็เปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น ไม่สามารถนำมารับประทานได้
ทดสอบสมมติฐาน
กลุ่มที่ 2 ผักกาดเขียว
ทดลองทำผักกาดดอง
อุปกรณ์
1. ผักกาดเขียว
2. เกลือ
3. น้ำ
4. ตราชั่ง
5. ขวดโหล
วิธีการทำผักกาดดอง
1. นำผักกาดเขียวมาล้างน้ำให้สะอาดและนำผักไปตากแดดให้เหี่ยว
2. นำผักกาดเขียวที่ได้มาเคล้ากับเกลือ
3. ต้มน้ำเกลือ (เกลือ 75 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร) ให้เดือดทิ้งไว้จนเย็น
4. นำผักกาดขาวใส่ขวดโหลที่เตรียมไว้ ใส่น้ำเกลือจนท่วมผักกาดเขียว จากนั้นปิดฝาให้สนิท ทิ้งไว้ 10 – 15 วัน จึงจะรับประทานได้
ระยะเวลาทดลอง
เริ่มวันที่ 6 กันยายน 2553
สิ้นสุดวันที่ 19 กันยายน 2553
ผลการทดลอง
ประสบผลสำเร็จ เพราะ ผักกาดที่นักเรียนนำมาดองนั้น คือ ผักกาดเขียว
ระยะเวลาที่ใช้ดองรวมเวลาทั้งสิ้น 14 วัน ปรากฏว่า ผักกาดเขียวที่นักเรียนนำมาดองนั้น
เปลี่ยนสีจากในสีเขียวเข้มเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง และน้ำที่ใช้ดอง ก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองด้วยเช่นกัน จากการสอบถามหลายๆคน ก็สรุปได้ว่า ผักกาดเขียวที่นำมาดองนั้นสามารถรับประทานได้
ทดสอบสมมติฐาน
กลุ่มที่ 3 ผักกาดหอม
ทดลองทำผักกาดดอง
อุปกรณ์
1. ผักกาดหอม
2. เกลือ
3. น้ำ
4. ตราชั่ง
5. ขวดโหล
วิธีการทำผักกาดดอง
1. นำผักกาดหอมมาล้างน้ำให้สะอาดและนำผักไปตากแดดให้เหี่ยว
2. นำผักกาดหอมที่ได้มาเคล้ากับเกลือ
3. ต้มน้ำเกลือ (เกลือ 75 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร) ให้เดือดทิ้งไว้จนเย็น
4. นำผักกาดหอมใส่ขวดโหลที่เตรียมไว้ ใส่น้ำเกลือจนท่วมผักกาดหอม จากนั้นปิดฝาให้สนิท ทิ้งไว้ 10 – 15 วัน จึงจะรับประทานได้
ระยะเวลาทดลอง
เริ่มวันที่ 6 กันยายน 2553
สิ้นสุดวันที่ 19 กันยายน 2553
ผลการทดลอง
ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะ ผักกาดที่นักเรียนนำมาดองนั้น คือ ผักกาดหอม
ระยะเวลาที่ใช้ดองรวมเวลาทั้งสิ้น 14 วัน ปรากฏว่า ผักกาดหอมที่นักเรียนนำมาดองนั้น
ไม่สามารถรับประทานได้ เนื่องจาก ผักกาดหอมเน่า ใบเปลี่ยนเป็นสีดำและยุ่ย น้ำที่ใช้ดองก็เปลี่ยนสีเป็นสีดำเช่นเดียวกัน
ทดสอบสมมติฐาน
กลุ่มที่ 4 ผักกาดแก้ว
ทดลองทำผักกาดดอง
อุปกรณ์
1. ผักกาดแก้ว
2. เกลือ
3. น้ำ
4. ตราชั่ง
5. ขวดโหล
วิธีการทำผักกาดดอง
1. นำผักกาดแก้วมาล้างน้ำให้สะอาดและนำผักไปตากแดดให้เหี่ยว
2. นำผักกาดแก้วที่ได้มาเคล้ากับเกลือ
3. ต้มน้ำเกลือ (เกลือ 75 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร) ให้เดือดทิ้งไว้จนเย็น
4. นำผักกาดแก้วใส่ขวดโหลที่เตรียมไว้ ใส่น้ำเกลือจนท่วมผักกาดแก้ว จากนั้นปิดฝาให้สนิท ทิ้งไว้ 10 – 15 วัน จึงจะรับประทานได้
ระยะเวลาทดลอง
เริ่มวันที่ 6 กันยายน 2553
สิ้นสุดวันที่ 19 กันยายน 2553
ผลการทดลอง
ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะ ผักกาดที่นักเรียนนำมาดองนั้น คือ ผักกาดแก้ว
ระยะเวลาที่ใช้ดองรวมเวลาทั้งสิ้น 14 วัน ปรากฏว่า ผักกาดแก้วเปลี่ยนสีโดยเริ่มจากขอบใบ และก้านค่อยๆเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีน้ำตาลและใบค่อยๆเปื่อยและยุ่ยออก มาสามารถนำมารับประทานได้
ระยะที่ 3
สรุปสมมติฐาน
สรุปผลการทดลอง
จากการที่นักเรียนได้ลงมือทดลองการทำผักกาดดอง โดยใช้การตั้งสมมติฐาน จากผักกาดทั้ง 4 ชนิด ได้แก่ ผักกาดขาว ผักกาดเขียว ผักกาดหอม และผักกาดแก้ว ก็สรุปออกมาได้ว่า ผักกาดที่ใช้ดองและสามารถรับประทานได้คือ ผักกาดเขียวเท่านั้น
วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2553
จากการที่นักเรียนได้เรียนรู้ จากการสังเกตและการเรียนรู้จากสื่อของจริง ทำให้เด็กๆได้รู้จักผักกาดหลายชนิดและแต่ละชนิดก็มีประโยชน์และวิธีการนำมาประกอบอาหารที่แตกต่างกัน นักเรียนได้รับความรู้ต่างๆจากวิทยากรในการทำผักกาดดอง นอกจากนี้นักเรียนยังได้เรียนรู้และลงมือทำการทดลองจนได้ข้อสรุปออกมาว่า ผักกาดเขียวสามารถนำมาทำผักกาดดองได้ นักเรียนได้รู้จักการแปรรูปผักกาดดอง ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้น จากการทำโครงงานในครั้งนี้ นักเรียนได้รู้จักคิดและมีความกล้าที่จะนำเสนอความคิดเห็นของตนเองได้ และมีการนำผักกาดดองมาประกอบเป็นอาหารรับประทาน คือ ต้มผักกาดดองกับกระดูกหมู เมื่อเสร็จสิ้นโครงการนี้แล้วนักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติในครั้งนี้ ไปใช้ประโยชน์ในครัวเรือนได้
มาเยี่ยมครูครับ