บันทึกเรื่องเศร้าเล่าเรื่องแม่


บันทึกไว้ให้ลูกหลานได้อ่านเห็น เป็นประเด็นให้คิดปฤศนา
 เมื่อ พ.ศ. 2505 ผมกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 โรงเรียนสมานคุณวิทยาทาน ครูสั่งเก็บค่ากระดาษสอบ ผมไม่มีเงินเก็บ และไม่อยากรบกวนหลวงตาพระอาจารย์เจ้าอาวาสซึ่งท่านได้อุปถัมภ์ค่าใช้จ่ายตลอดมาและอีกประการหนึ่งผมไม่ได้กลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่มาปีกว่าแล้ว เพราะลำบากมากในการเดินทางในสมัยนั้น ผมเลยกราบลาพระอาจารย์กลับบ้าน กลับไปถึงบ้านก็พลบค่ำร่วมนั่งกินข้าวพร้อมพี่ชายพี่สาวและน้องอีกคน ดูหน้าตาของแม่ไม่ค่อยจะมีความสุขนัก เพราะผมกลับบ้านทีไรจะต้องมีความจำเป็นเรื่องเงินทุกครั้ง ผมเข้าใจดี แต่คราวนี้ผมจะขอแค่ 20 บาท เป็นค่ากระดาษสอบที่ครูเก็บที่โรงเรียน และจะนำไปซื้อรองเท้าสักคู่เพราะคู่เดิมที่ใช้อยู่พื้นไม่มี มา ประมาณ 3 เดือนแล้ว กินข้าวเสร็จผมบอกแม่เรื่องขอเงิน แม่มองหน้าผมและหันไปมองพ่อตอนนั้นผมไม่ทราบว่าแม่หมายถึงอะไร กินข้าวเสร็จก็แยกย้ายกันไปนอน ตกดึกเกือบย่ำรุ่งแม่ปลุกให้ตื่น พร้อมยื่นเงินให้ 20 บาทและบอกว่าให้รีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเพราะต้องเดินเท้าประมาณ 3 กิโลเมตร เดี๋ยวจะไปโรงเรียนไม่ทัน ส่วนแม่จะไปขายของที่เตรียมไว้แต่หัวค่ำโดยรถโดยสารที่วิ่งเข้ามารับในหมู่บ้าน แต่จะไปถึงหาดใหญ่จะสายมาก จึงให้ผมเดินล่วงหน้าไปก่อนไม่ต้องรอแม่ ทั้ง ๆ ที่ผมบอกว่าถ้าผมไปด้วยพร้อมกับแม่จะได้ช่วยขนย้ายสิ่งของที่นำไปขายได้อีกแรงหนึ่งด้วย แต่ยืนยันให้ผมเดินทางล่วงหน้าไปก่อนตามที่ได้พูดไว้ในตอนแรก ผมก็รีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวรีบออกจากบ้านแต่เช้ามืด ผมเดินทางมาก็โชคดีรถประจำทางคันแรกมาถึงผมก็เลยไม่เสียเวลาได้ขึ้นรถในทันที ไปถึงหาดใหญ่ต้องลงหน้าโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัยเดินอีกประมาณ 2 กิโลเมตรไปวัดเกาะเสือเพื่อไปกระเป๋าหนังสือเรียนและออกเดินทางอีกประมาณ 3 กิโลเมตรกว่า จึงจะถึงโรงเรียนสมานคุณวิทยาทานที่ผมเรียน แต่อย่างไรก็ตามวันนี้ผมก็ไปโรงเรียนสาย 

แต่วันนี้กลับมีความแปลกอยู่ประการหนึ่งคือผมมาสายแต่ครูเวรบอกว่าเร็ว ๆ เธอเข้าเรียนเลย วันหลังอย่ามาสายอีก

 ผมเรียนหนังสือวันนี้ในตอนวิชาแรกเหมือนกับว่าสมองวุ่นวายไปหมด ผมก็คิดไปว่าอาจจะเป็นเพราะผมเหนื่อยที่เดินทางด้วยเท้ามากกว่าวันอื่น ๆ กระมัง หลังพักกลางวันชั่วโมงแรก ครูใหญ่ให้เพื่อนตามผมไปพบและแจ้งว่าญาติที่มาขายของที่ตลาดให้ผมกลับบ้านด่วน แม่ป่วยหนัก ผมใจหายวาบ ครูใหญ่ถามว่าเธอควรขี่จักรยานกลับบ้านถ้าต้องการครูใหญ่จะยืมของเพื่อน ๆ ให้ ผมพยักหน้า เสียดายตอนนั้นเพื่อนที่ให้ยืมรถจักรยานผมจำชื่อไม่ได้ พอได้จักรยานผมก็สะพายกระเป๋าหนังสือไว้ข้างหลังรีบปั่นจักรยานมุ่งสู่บ้านทันที ระยะทางจากหาดใหญ่ถึงบ้านผมมันคดเคี้ยวมาก ก็ร่วม 20 กว่ากิโลเมตร ผมขี่จักรยานแบบไม่เหนื่อยเลย จากทางลาดยางถึงปากทางที่จะเลี้ยวเข้าหมู่บ้านผมเป็นทางเดินที่ไม่ได้สะดวกนัก ผมขี่จักรยานไปเรื่อย ๆ ตามรายทางผมเห็นชาวบ้านมุ่งหน้าไปทางเดียวกับกับผมมากจนผิดสังเกต แต่คิดว่าพวกเขาน่าจะเดินทางไปงานแต่ง งานบวช งานใดงานหนึ่งก็อาจเป็นได้ พอมาถึงหน้าโรงเรียนบ้านท่าจีนที่ศาลาหน้าโรงเรียน ผมเห็นมีผู้คนเต็มไปหมดและที่สำคัญคือทุกหน้าเศร้าหมอง พอเข้าไปถึงศาลาได้ยินแต่เสียงร้องให้ ผมหยุดรถถามญาติที่รู้จักเขาเข้ามากอดและบอกว่า"พวกไปขายของที่หาดใหญ่ถูกประสานงา ตาย 11 คน นุมมึงก็ตายด้วย" ผมตะลึง เพราะ"นุม"หมายถึงแม่ ผมก็ถามว่า"แล้วนุมอยู่ไหน" ก็ได้รับคำตอบว่าทั้ง 11 คนที่ประสบเหตุถุกลำเลียงมาไว้ที่ศาลาที่หน้าโรงเรียนทั้งหมดเพราะจะไดทำพิธีพร้อม ๆ กัน ผมวางจักรยานลงกับพื้นวิ่งไปที่ศาลาที่มีศพวางเรียนทุกศพถูกคลุมด้วยผ้าห่มหลากหลาย ผมเดินมุ่งไปที่ผ้าห่มที่ผมจำได้ว่าเป็นของแม่ผม เปิดออกดูใช่จริง ๆ น้ำตาผมไหลพรากอาบแก้ม ผมกราบลงบนหน้าอกของแม่เป็นครั้งสุดท้ายในวันนนั้น 50 ปีที่ผ่านผมไม่เคยลืมแม่ เพราะผมได้ทำความดีเพื่อแม่ตลอดมาและจะทำไม่สิ้นสุด 
หมายเลขบันทึก: 498354เขียนเมื่อ 12 สิงหาคม 2012 09:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 สิงหาคม 2012 09:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท