วันหนึ่ง ก่อนแม่จะเสียชีวิตราวสามสี่ปี ผมพาครอบครัวไปชุมนุมที่บ้านท่านที่ต่างจังหวัด (ถิ่นเดิมในวัยเด็กของผม) ในช่วงสงกรานต์ อย่างที่ทำมานานอย่างต่อเนื่อง โดยมีครอบครัวพี่ๆน้องๆ อีกสี่ครอบครัวช่วยทำให้บ้านแม่แคบลงหลายเท่า บ่ายวันที่จะเดินทางกลับ หลังอาหารกลางวัน และการดำหัวและรับพรปีใหม่แล้ว เกือบทุกคนนั่งๆนอนๆห้อมล้อมแม่ (ซึ่งมีสถานะเป็นย่าของบรรดาเด็กๆด้วย) อย่างค่อนข้างเงียบ (เพราะคุยกันมาตั้งแต่วันก่อนจนแทบพูดได้ว่า เปลวปากวอด ไปตามๆ กันแล้ว) ราวๆบ่ายสามโมง ผมก็หันไปทางสมาชิกสำคัญของครอบครัวผมเป็นเชิงหารือว่าควรออกเดินทางกลับกันได้หรือยัง เมื่อได้รับสัญญาณตอบรับ ผมก็คลานเข้าไปกราบตักแม่แล้วกอดแม่ (อย่างที่เคยทำจนชินเพราะเป็นลูกคนเดียวที่โตจนแก่แล้วยังกอดแม่อยู่เสมอ) และคลานกลับมาสวมรองเท้าลุกขึ้นออกเดินลงจากระเบียงหลังบ้านซึ่งเป็นที่ชุมนุมประจำของพวกเรา
“อะไรกัน” น้องสาวคนหนึ่งกล่าวเสียงดัง “อยู่ๆก็จะกลับ หน้าซื่อ ยังงี้ละหรือ”
ผมแทบไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าจะตอบอย่างไรดี ก็ได้ยินเสียงแม่อย่างชัดเจนว่า “แกจะให้มันทำหน้างอกลับงั้นหรือ”
เสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นพร้อมๆ กันทันที
แม่กว่าครึ่งโลกเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ แต่ไม่น้อยเลยในหมู่คนธรรมดาเหล่านี้ เป็นเสมือนบุคคลศักดิ์สิทธิ์ของลูก แม่ของพวกเราสลายร่างสาบสูญไปจากโลก แต่ความเป็นแม่ถูกส่งต่อให้เราทางดีเอ็นเอคนละไม่น้อยเลย ทำให้เราเป็นพี่น้องที่ปรองดองกันด้วยภาคปฏิบัติ โดยไม่ต้องใช้คำนี้เป็นคาถาท่องบ่นให้พี่น้องประชาชนฟังบ่อยๆก็ได้
อะไรก็ตามที่ทำแล้วตัวเองก็มีความสุข และคนที่อยู่ด้วยก็มีความสุข เป็นเรื่องที่ควรทำจนเป็นนิสัย ใครได้รับสิ่งนี้จากแม่แล้วใช้ต่อทำต่อ คือคนที่ทั้งรักแม่ รักตัวเอง และรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
แม่คือผู้หญิงที่วิเศษที่สุดในโลก คือคำนิยามที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งได้รับตำแหน่งมาหมาดๆ >>>> แด่แม่ผู้วิเศษของลูกทุกคนค่ะ