ไปสอนกรรมฐานที่เมืองจีน พระไพศาล วิสาโล


แหล่งที่มา : บทความพิเศษตีพิมพ์ในนิตยสาร IMAGEกรกฎาคม ๒๕๕๕

 

ฝูติ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่เรียกว่าอยู่ปลายอ้อปลายแขมของมณฑลฟูเจี้ยน ประเทศจีน แต่วันนี้กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีตึกสูงนับสิบชั้นผุดขึ้นมามากมาย ที่กำลังเร่งก่อสร้างก็มีอยู่ไม่น้อย รวมทั้งคอนโดมิเนียมหรูที่เกาะกลุ่มกันเป็นเมืองน้อย ๆ เบื้องหน้าคือถนนแปดเลนเพิ่งตัดเสร็จได้ไม่นานเพื่อรองรับรถยนต์ที่กำลังเพิ่มขึ้น ส่วนสถานีรถไฟความเร็วสูงก็เพิ่งเปิดใช้ได้เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง

เมืองเล็กเมืองน้อยทุกเมืองที่เห็นตลอด ๓ ชั่วโมงบนรถไฟ ล้วนกำลังขยายตัวเติบใหญ่อย่างฝูติ่งทั้งสิ้น สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของเมืองจีน ทั้ง ๆ ที่จีนพัฒนาเศรษฐกิจช้ากว่าเมืองไทยถึง ๒๐ ปี แต่ตอนนี้ล้ำหน้าเมืองไทยไปหลายด้านแล้ว รถไฟที่พาคณะของเราไปยังเมืองฝูติ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งของความล้ำหน้า นอกจากจะแล่นด้วยความเร็วสูงถึง ๒๐๐ กม/ชม.แล้ว ยังนั่งสบายและเงียบราวกับรถไฟชิงกันเซ็นของญี่ปุ่น แถมยังมีภาพยนตร์ให้ดูตลอดเส้นทางด้วย

คณะของเราซึ่งประกอบด้วยพระ ๓ รูปมาเมืองจีนครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อท่องเที่ยวหรือทัศนศึกษา แต่ได้รับนิมนต์ให้มาสอนกรรมฐานแก่คนจีน ผู้จัดนั้นเป็นชาวจีนที่ศรัทธาการเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ซึ่งใช้อิริยาบถการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความรู้สึกตัว ก่อนหน้านี้ก็ได้มีการจัดอบรมกรรมฐานอย่างต่อเนื่องมา ๔-๕ ปีแล้ว และได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง จนปีหนึ่ง ๆ ต้องจัด ๔ ครั้ง หรือทุก ๓ เดือน โดยนิมนต์อาจารย์กรรมฐานจากเมืองไทยไปสอน ในช่วง ๒-๓ ปีหลัง มีชาวจีนหลายคนสนใจถึงกับเดินทางมาปฏิบัติธรรมที่วัดป่าสุคะโตปีละหลายคณะ แต่ละคณะอยู่นานเป็นเดือน ที่ลงทุนบวชพระและบวชชีก็มีไม่น้อย บางคนยังบวชจนกระทั่งบัดนี้


การที่ชาวจีนจำนวนมากสนใจการปฏิบัติธรรม ดูเหมือนจะเป็นปรากฏการณ์สวนทางกับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของประเทศจีน แต่จะว่าไปแล้วมันเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะยิ่งมีความพร้อมพรั่งสะดวกสบายทางวัตถุมากเท่าใด ก็จะพบว่าความสุขทางวัตถุมีข้อจำกัด ไม่สามารถให้ความพึงพอใจแก่ชีวิตได้อย่างแท้จริง และยิ่งดิ้นรนขวนขวายหาเงิน จิตใจก็ยิ่งเครียด เต็มไปด้วยความวิตกกังวล ทำให้ต้องแสวงหาทางดับทุกข์ในจิตใจ ล่ามจีนเล่าให้ฟังว่าระยะหลังการอบรมอย่างหนึ่งซึ่งได้รับความนิยมมาก คือ การอบรมแบบ E.Q. ซึ่งช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย และสามารถดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ไม่สนใจศาสนาได้มากมาย

อย่างไรก็ตามมีคนจีนไม่น้อยที่ยังสนใจศาสนาอยู่ เห็นได้จากความนิยมเข้าคอร์สกรรมฐาน ซึ่งปัจจุบันมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ที่นิยมมากที่สุดเห็นจะได้แก่การปฏิบัติตามแนวโคเอ็นก้า ซึ่งจัดต่อเนื่องในจีนมานานนับสิบปีแล้ว น่าแปลกก็ตรงที่แนวทางของหลวงพ่อเทียนก็ได้รับความนิยมไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อเทียนก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักกว้างขวางในเมืองไทยเท่าใดนัก

กว่าคณะของเรามาถึงวัดจือกั๊วก็ค่ำแล้ว เช้ามืดของวันรุ่งขึ้นก็ทำงานเลย การปฏิบัติธรรมเริ่มต้นตั้งแต่ตี ๕ หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงก็เป็นการบรรยายธรรม ตลอดเจ็ดวันของการอบรม ( ๒๙ เมษายน-๕ พฤษภาคม) มีบรรยายเพียงวันละครั้ง ๆ ละหนึ่งชั่วโมง จากนั้นก็เป็นการปฏิบัติล้วน ๆ โดยใช้สองอิริยาบถหลัก คือ เดินจงกรม กับ นั่งยกมือเคลื่อนไหว โดยให้มีสติอยู่กับกาย หากใจคิดนึก ก็ให้รู้ทัน แล้วพาใจกลับมาที่กายดังเดิม บ่ายสามโมงครึ่งเป็นช่วงตอบคำถามของนักปฏิบัติ จากนั้นก็ปฏิบัติต่อจนถึงสองทุ่มครึ่ง โดยมีเวลาพักสำหรับอาหารเช้า กลางวัน และเย็น ซึ่งล้วนเป็นอาหารเจ

ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมนั้นมีทั้งสิ้น ๑๗๐ คนซึ่งนับว่ามากที่สุดเท่าที่เคยจัดมา ทีแรกนั้นข้าพเจ้าเข้าใจว่าจะมีแต่นักปฏิบัติวัยกลางคนหรือค่อนไปทางผู้ชรา แต่ปรากฏว่ามากกว่าครึ่งเป็นคนวัยอายุ ๓๕ ลงมา คนเหล่านี้มีการศึกษาสูง งานดี และเงินคงดีด้วย แต่ยอมสละเวลาร่วม ๑๐ วันมาปฏิบัติธรรม ที่เป็นนักศึกษาก็มีไม่น้อย แม้แต่วัยรุ่นก็มาด้วย อายุต่ำสุดคือ ๑๔ ปี ที่มากันเป็นกลุ่มก็มาก รวมทั้งมาเป็นครอบครัว หรือพาคู่รักมาด้วย ที่น่าประทับใจคือ ส่วนใหญ่แล้วตั้งใจปฏิบัติตลอดทั้งวัน โดยปิดวาจา ไม่พูดคุยกัน (ส่วนการคุยโทรศัพท์นั้น ตัดไปได้เพราะผู้จัดยึดเอาไว้หมด) อันที่จริงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนส่วนใหญ่ซึ่งมีอาชีพใช้ความคิด ดังนั้นหลายคนจึงฟุ้งซ่านจนเครียด แต่นั่นก็ช่วยให้เห็นชัดว่าความคิดมันเป็นนายเรา หาใช่เราเป็นนายความคิดไม่ จะว่าไปแล้วคนเราส่วนใหญ่ทุกข์ก็เพราะความคิดที่คุมไม่ได้นั่นเอง หาใช่เพราะคนอื่นหรือสิ่งนอกตัวไม่
ในช่วงตอบคำถามนั้น ส่วนใหญ่จะถามเรื่องการปฏิบัติ ซึ่งหนีไม่พ้นการเพ่งและกดข่มความคิด ซึ่งทำให้เครียดหนักขึ้น ที่จริงเพียงแต่รู้หรือดูความคิดเฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรกับมัน ความคิดก็หายไปเอง แต่วันหลัง ๆ ก็เริ่มมีนักปฏิบัติหลายคนมาขอปรึกษาหรือซักถามนอกรอบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัญหาครอบครัว เช่น ความขัดแย้งระหว่างแม่กับลูก ซึ่งเกิดขึ้นมากกับคนเมืองโดยเฉพาะคนที่มีฐานะการเงินดี ทำให้เครียดทั้งสองฝ่าย น่าสังเกตว่าวัยรุ่นหลายคนยอมรับว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือมีปัญหาทางจิตใจ คงเนื่องจากแรงกดดันในครอบครัวซึ่งก็ถูกกดดันอีกต่อหนึ่งจากสังคมที่ถือคติตัวใครตัวมันมากขึ้น บางคนก็มาปรึกษาเพราะวิตกกังวลเรื่องกิจการ ทั้ง ๆ ที่เป็นเจ้าของกิจการที่มั่นคง แต่ก็ทุกข์เพราะห่วงว่ากิจการจะไม่รุ่งเหมือนเดิม หรือเพราะไม่มั่นใจลูกน้องที่ให้ดูแลกิจการแทน ปัญหาเหล่านี้จะว่าไปไม่ได้ต่างจากที่เกิดกับคนไทยเลย มองในแง่นี้จีนก็กำลังวิ่งตามเมืองไทยซึ่งเต็มไปด้วยปัญหาครอบครัวและปัญหาจิตใจนานาชนิด

จากคำถามและความคิดเห็นของนักปฏิบัติ ทำให้ตระหนักว่าหลายคนสนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมมานาน และไม่ได้สนใจปฏิบัติเพียงเพื่อหายเครียดเท่านั้น แต่ยังหวังบรรลุธรรมด้วย มีบางคนคิดจะลาออกจากงาน หาที่ปฏิบัติธรรมสักแห่ง โดยจะพาพ่อแม่ไปอยู่ด้วย ทั้งนี้ตั้งใจว่าจะปฏิบัติจนหลุดพ้น เขาเชื่อมั่นว่าการเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียน เป็นหนทางที่จะพาเขาพบกับความสิ้นทุกข์ได้ คำถามของคนเหล่านี้ทำให้เห็นได้ว่าพุทธศาสนาไม่ใช่ของใหม่สำหรับพวกเขา แม้ว่าเขาจะเกิดและเติบโตมาภายใต้การปกครองแบคอมมิวนิสต์ก็ตาม

ทุกวันข้าพเจ้าจะเดินจากที่พักไปยังตึกที่จัดปฏิบัติธรรมวันละหลายเที่ยว ทุกครั้งก็จะผ่านวิหารหลังใหญ่ซึ่งมีพระพุทธรูปสลักไม้ขนาดใหญ่สูงนับ ๑๐ เมตรเป็นประธานสามองค์ตามคติมหายาน ที่นั่นจะมีคนมากราบไหว้และขอพรเกือบทั้งวัน ทั้งที่เป็นนักท่องเที่ยวและคนวัด ซึ่งล้วนเป็นผู้เฒ่าทั้งสิ้น ผู้เฒ่าเหล่านี้ทางวัดสร้างตึกให้อยู่โดยเฉพาะ แต่ไม่ได้อยู่ฟรี ต้องจ่ายค่าห้อง สามารถอยู่ได้จนตาย จะเรียกว่าบ้านพักคนชราก็ไม่ผิด ชวนให้คิดต่อว่าสาเหตุที่ผู้เฒ่าย้ายมาอยู่วัด เป็นเพราะลูก (ซึ่งมักจะมีแค่คนเดียว)ไม่มีเวลาดูแลพ่อแม่ (หรืออยากให้พ่อแม่อยู่แยกจากครอบครัวของตน) หรือเป็นเพราะพ่อแม่อยากใช้ชีวิตบั้นปลายใกล้ศาสนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าผู้เฒ่าเหล่านี้จะมีความสุขดี เพราะมีเพื่อนคุยรุ่นราวคราวเดียวกัน อีกทั้งยังได้ไหว้พระสวดมนต์เป็นประจำ บางวันผู้เฒ่าเหล่านี้รวมกลุ่มเอ่ยพระนามพระอมิตาภะซ้ำไปซ้ำมาดังก้องทั้งตึกตั้งแต่ตีห้าจนเช้า แสดงให้เห็นว่าความเชื่อทางพุทธศาสนาแบบประเพณี ยังไม่ขาดตอน แม้จะถูกขวางกั้นหรือถึงกับบ่อนทำลายโดยรัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์มานานหลายทศวรรษก็ตาม

ภาพคนร่วม ๒๐๐ คนกำลังเดินจงกรมอยู่บนระเบียงตึก ขณะที่ข้างล่างผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งจุดธูปสวดมนต์ขอพรจากพระอมิตาภะในวิหาร เป็นภาพที่ตัดกัน แม้ไม่ถึงกับขัดแย้งกัน แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงการนับถือพุทธศาสนาสองแบบ แบบหนึ่งเน้นการฝึกตนให้เป็นที่พึ่งของตนได้ อีกแบบหนึ่งเน้นอำนาจดลบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม้จะมีเนื้อหาต่างกันแต่ก็ล้วนเป็นผลพวงของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของจีน กล่าวคือในด้านหนึ่งมันทำให้ผู้คนมีความเครียดมากขึ้น อีกด้านหนึ่งก็ทำให้รู้สึกหวั่นไหวต่อความไม่แน่นอน หรืออยากร่ำรวยมั่งมีศรีสุขมากขึ้น ทั้งหมดนี้ล้วนผลักดันให้คนจำนวนไม่น้อยหันไปหาคำตอบจากศาสนา เป็นแต่ว่าสิ่งที่ปรารถนานั้นแตกต่างกัน แต่ถึงอย่างไรปรากฏการณ์ดังกล่าวก็ชี้ว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจจะพัฒนามากมายเพียงใด เทคโนโลยีวิทยาการก้าวไกลแค่ไหน ศาสนาก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่นั่นเอง จะว่าไปแล้วศาสนาล้วนเป็นที่ต้องการทุกยุคทุกสมัย แม้ในบางช่วงจะมีความพยายามทำลายกวาดล้างศาสนาเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถกำจัดให้สูญสิ้นไปได้ ไม่ช้าก็เร็วศาสนาก็จะงอกงามขึ้นมาใหม่ และเป็นที่เสาะแสวงของผู้คน ควบคู่กับการปรุงแต่งให้สอดคล้องกับความต้องการของตน ใช่หรือไม่ว่าศาสนาจะยังอยู่คู่กับมนุษย์ไปอีกนาน แต่จะอยู่ในรูปใดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง




แหล่งที่มา : บทความพิเศษตีพิมพ์ในนิตยสาร IMAGEกรกฎาคม ๒๕๕๕

คัดมาจาก เวปพลังจิต 

คำสำคัญ (Tags): #หลวงพ่อเทียน
หมายเลขบันทึก: 497924เขียนเมื่อ 9 สิงหาคม 2012 21:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 สิงหาคม 2012 10:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

ขอบคุณค่ะคนบ้านไกล ชอบอ่านหนังสือที่พระอาตารย์เขียนมาก เป็นธรรมะที่อ่านได้เข้าใจง่ายๆ นำมาปฏฺบัติได้จริง ซึ่งเล่มที่ชอบมากคือเส้นผมบังความสุขนี่แหล่ะค่ะ

การเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ผมได้ลองทำดูเมื่อตอนสอน (รอนศ. ส่งงาน Lab) วิชา Engineering Drawing ก็ดีนะครับ  :):)

ดีนะที่นศ. ไม่ได้สนใจว่าผมทำอะไร ฮิฮิ 

หลักกรรมฐาน เป็นที่สุดของที่สุดแล้วนะคะ

ขอบคุณบทความดีดีนี้นะคะ

ตามคนบ้านไกลมาจากบ้านน้องชลัญ คนขยัน ชอบใจคนที่บ้านช่วยทานทัก ไม่ให้หักโหม เปลี่ยนแปลงโลกด้วยหน้าแป้นแม้นไม่ได้ แต่ก็มีความหมายเปลี่ยนใจคนได้ในบางคน เท่านี้ก็เป็นสุขแล้วที่ได้เขียนแลกเปลี่ยนกัน ทุกครั้งที่นั่งเคาะแป้น สารแห่งความสุข มันหลั่งออกมา ผ่านสมองสู่สายตามาออกที่ปลายปลายนิ้ว ปลดปล่อยใช่เพื่อเปลี่ยนโลก แต่ปลดปล่อยเพื่อเปลี่ยนแปลงพัฒนาตนเอง

การปิดวาจา ไม่พูดคุยกัน.. พระอาจารย์ให้เหตุผลว่า เมื่อเราพูดคุยทักทายกัน สติของเราจะกลับที่อดีต เพื่อนึกคิดและตอบเป็นคำพูดออกมา สติไม่อยู่กับปัจจุบัน ให้เน้นคิดทำพูดอยู่ที่ปัจจุบันขณะ (แต่มันทำยากนะคะ)

เห็นชัดว่าความคิดมันเป็นนายเรา หาใช่เราเป็นนายความคิดไม่ จะว่าไปแล้วคนเราส่วนใหญ่ทุกข์ก็เพราะความคิดที่คุมไม่ได้นั่นเอง หาใช่เพราะคนอื่นหรือสิ่งนอกตัวไม่

ขอบคุณการแบ่งปันบทความดีดีีนี้ค่ะคุณพี่ :)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท