อ่านเรื่องนี้แล้ว นึกถึงพระพุทธเจ้าตรัสตอบเทวดา
ที่ทูลถามว่า(ส.ส. ๑๕/๖๑ : สังยุตตนิกาย สถาควรรค เล่มที่ ๑๕ หน้า ๖๑)
คนพวกไหนหนอไม่เป็นข้าศึกในโลกนี้
พระองค์ตรัสตอบว่า
สมณะในศาสนานี้ ไม่เป็นข้าศึกในโลก(สมณีธ อรณา โลเก)
พุทธภาษิตบทนี้ท่านกวีเอกแห่งเมืองระยอง และศิลปินแห่งชาติ ปี ๒๕๓๖
ได้อรรถาธิบายไว้อย่างไพเราะด้วยภาษากวี ดังนี้(พุทธศาสนสุภาษิตคำกลอน :
พระพิพัฒน์ปริยัตยานุกูล วัดชากมะกรูด อำเภอแกลง จ.ระยอง)
สมณะพระสงฆ์ทรงสิกขา พระสัมมาพุทธวิสุทธิ์แสน
ไม่เป็นภัยในโลกทุกดินแดน ทั่วพื้นแผ่นพิภพสงบเย็น
เหมือนเม็ดฝนปรนปรายกระจายสาด โลกธาตุพบสุขสิ้นยุคเข็ญ
สมณะพระธรรมชื่นฉ่ำเย็น มิได้เป็นข้าศึกอนึกพาล
ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตย่อมไม่ขัดแย้งกับชาวโลก แต่ชาวโลกย่อมขัดแย้งกับเรา ธรรมวาทีย่อมไม่ขัดแย้งกับใครๆในโลก”
แม้ต่างเผ่าพันธ์ ต่างชาติ ต่างศาสนา ก็อยู่กันอย่างมีสุข หากมีธรรมเท่ากัน
ขอนมัสการพระคุณเจ้านะครับ
ผมคิดว่าการโค้ดประเด็นคำถามที่เป็นเนื้อหาสาระเพียงส่วนหนึ่ง แล้วเรานำมาหยิบยกเพื่ออธิบาย ย่อมไม่สามารถทราบถึงจุดประสงค์ของผู้พูดได้ทั้งหมด ดีไม่ดีอาจเป็นการนำประเด็นมาสื่อหรืออธิบายต่อๆกันในทางที่ผิด อาจทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดไปกันใหญ่ ถ้าสงสัยในคำกล่าวใดๆ ก็ตามก็ควรถามผู้กล่าวคำนั้นจึงจะทราบถึงจุดมุ่งหมายและจุดประสงค์ของการกล่าวได้
ส่วนตัวผมเองคิดว่า การที่จะให้วิเคราะห์คำกล่าวนี้ ผมได้ตั้งประเด็นไว้ 2 ส่วน คือ
๑. ประเด็นที่หยิบยกมา ควรเป็นประเด็นที่มีเนื้อหาครบถ้วนกระบวนความเสียก่อน แล้วจึงนำข้อความมาอธิบายหรือตีความ เพื่อที่จะได้ทราบถึงความมุ่งหมายของผู้กล่าว/เจ้าของประเด็น แล้วการหยิบประเด็นมาเพียงสั้นๆ อาจเป็นการจงใจของผู้ปล่อยประเด็นก็เป็นได้ เพื่อทำให้บุคคลที่กล่าวข้อความนี้(จริง/ไม่จริง) ได้รับความเสียหาย หากแม้ว่าจะเป็นข้อความที่บุคคลนั้นกล่าวจริงก็ควรให้เขาได้อธิบายเสียก่อน
๒. ประเด็นเกี่ยวข้อความนี้ จริงๆ แล้ว ข้อสองนี้เทียบจะไม่จำเป็นเลย ถ้ารับทราบถึงของเเรก เพราะถ้าข้อความนี้ไม่ได้มีคนกล่าวจริง เป็นผู้ไม่หวังดีปล่อยออกมาทำลายคนอื่น ก็จะเป็นการทำลายอีกคนไป ส่วนถ้าเป็นข้อความจริงกระผมคิดว่า (พิจารณาจากข้อความที่ปรากฏเท่านั้น) ผมคิดว่ามหาวิทยาลัยที่กล่าวในข้อความนี้ก็น่าจะเป็นมหาวิทยาลัยของสงฆ์ (มมร./มจร.) หากพวกคุณมาเรียนมหาวิทยาลัย แล้วยังคิดอยู่ว่า พุทธศาสนาสอนทุกอย่างไว้หมดแล้ว ก็จงลาออกไปบวชซะ เพราะมหาวิทยาลัยเกิดขึ้นมาเพื่อเป็น ปฏิปักษ์กับศาสนา เพื่อปลดปล่อยคนจากศาสนา.. ผมคิดว่าเป็นการมองแบบทางโลกนะครับ เพราะมหาวิทยาลัยแม้จะเป็นสถานที่ให้ความรู้มากขนาดไหนก็เป็นความรู้ภายนอก แบบ Knowledge ไม่ใช่ความรู้แบบ Wisdom อันเกิดจากความรู้ภายใน สิ่งเหล่านี้แหละที่ผมคิดว่าน่าจะใช่ในความหมายของข้อความนี้ และก็อาจจะคิดได้อีกวิธีหนึ่ง ว่าผู้กล่าวข้อความนี้ อยากให้เรารู้จักพุทธศาสนา แบบชนิดจริงจังและสมบูรณ์ สามารถที่จะนำพุทธศาสนิกชนให้ดำเนินตามรอยพระศาสดาได้ กล่าวคือ บรรลุนิพพานได้นั้นเอง และแม้ว่าเราจะบอกว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้แน่นทางโลกอย่างเดียว ทางธรรมเราก็แน่นไปด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นการอยากที่จะทำให้คนทั่วไปได้เข้าใจได้
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าการอธิบายสิ่งที่คนอื่นพูด ก็เหมือนกับเราพายเรือในมหาสมุทรที่คิดว่า ทางนี้น่าจะใช่ทางที่ทำให้เราถึงฝั่ง ทางนั้นน่าจะใช่ทางที่ทำให้เราถึงฝั่ง สรุปว่า..................!
ความเป็นผู้มีความรู้ทางโลกและความรู้ทางธรรมย่อมแตกต่างกัน ผู้ที่มีความรู้ทางโลกย่อมได้รับการยกย่องจากประเทศของตนและประเทศอื่นๆ แต่ผู้ที่มีความรู้ทางธรรม ย่อมได้รับการยกย่องจากโลกนี้และโลกหน้า.