นายหัว
นาย เจ้าชาย ณ เมืองห้วยแร่

มรดก


มรดก

มรดก

        อย่าให้พ่อมึงตายก่อน! เดี่ยวอะไรๆมันจะวุ่นวายและยุ่งยากไปมากกว่านี้ ตอนนี้พ่อของมึงยังอยู่ ไม่เห็นมีใครหน้าไหนมาฟัง มาดูดำดูดีอะไรเลย วันๆมันเอาแต่ทำงานๆ ดูแลลูก แต่เมีย แต่ผัวของพวกมัน คิดแล้วกูหนักใจจริงๆ แม่บ่นสบถกับผมเมื่อยามเย็นวันนั้น วันที่ดูท้องฟ้ายังสดใสอยู่ ดูอะไรๆมันยังมีความหวัง มีแสงสว่างอยู่รำไร แต่เมื่อผมนึกได้ ผมทราบดีว่ามันใกล้เข้ามาแล้ว ที่ความมืดมิดมืดดำที่จะมาปกคลุมบ้านเรา ความสว่างจะถูกพรากไปจากเรา สายตาของเราจะพร่ามั่ว ความกลัวความกังวลและอุปสรรคปัญหานานาประการคงเริ่มใกล้ถาโถมเข้ามาเต็มที ผมรู้ดี  ผมทราบดี แต่แม่รู้ดียิ่งกว่าผม

     ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวที่ดูใหญ่โต แต่หาใช่ว่าเป็นทรัพย์สินเงินทองก็หาไม่ แต่เป็นจำนวนสมาชิกในครอบครัว โดยมีพี่น้องรวมกัน 9 คนพี่น้อง ถ้าหากไม่นับที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อยามทารก บ้านของเราคงมีพี่น้องรวมกันครบถึงโหลทีเดียว

     มันเป็นธรรมดาของคนบ้านนอกคอกนา สังคมชนบท การมีลูกมากลูกเยอะๆเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งมีทีท่าว่ามันขัดกับค่านิยมพวกฝรั่งที่เน้นว่าเป็นปัญหา โดยนิยามว่าลุกมากจะยากจน ผมคิดอยู่เสมอ คนบ้านนอกบ้านเรามันคงเก่งกว่าไอ้พวกฝรั่งมากโขทีเดียว บ้านเราลูกเป็นโหลๆแต่เลี้ยงรอดเลี้ยงจนโตมาทุกคน ไม่เห็นมีใครอดตายเลย มีแต่ก็เป็นโรคหรือไม่ก็งูกัด เสือกัดตาย ตามเท่าที่ทราบในอดีต

    ความที่ลูกมากลูกเยอะก็เป็นผลดีต่อการใช้แรงงาน ช่วยกันทำมาหากิน ลูกมาก ญาติเยอะ เวลาทำนาทำไร่ ก็ช่วยกันได้เยอะทีเดียว

    มันเป็นอย่างนั้น ครอบครัวของผม สมัยที่พ่อยังหนุ่มๆ พ่อเป็นลูกคนรองของตา เป็นพี่รองจากพี่คนโตของคุณตา พ่อขยันทำงานมาก แกทำนา ทำไร่ จนได้มาแต่งงานกับแม่ ซึ่งเป็นแม่หม้ายสาวชาวเกาะ ผมถ้าว่าไปแล้วก็เป็นลูกครึ่งเหมือนกัน ครึ่งบกครึ่งน้ำ แม่อยู่เกาะ แต่พ่อมาจากโซนป่าเขา แต่ก่อนสมัยพ่อแม่แต่งงานกันใหม่ๆ ก็อาศัยอยู่กับตา แต่เมื่อเริ่มมีพี่ชาย ดูทุกอย่างมันเริ่มลำบากลำบน ตาเลยยกที่นาและไร่ ให้พ่อมาปลูกบ้าน มาทำมาหากินจนถึงปัจจุบัน

     พ่อเป็นคนขยันทำงานมาก แม้พ่อจะจบแค่ ป.สี่ แต่ผมก็รักพ่อมาก ผมกับพ่อไม่ค่อยสนิทกันเลย ไม่เหมือนกับแม่ผมสนิทกับแม่มาก เวลาพูดคุยกับพ่อผมก็พูดคำตอบคำ เวลาโทรไปหาก็พูดไม่กี่คำก็วางสาย แต่ผมก็รู้ว่าพ่อรักผมและผมก็รักพ่อ แต่ผมไม่กล้าบอกพ่อเลย ผมจำได้เสมอตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีมาแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโต ผมจำความผมไม่เคยกอดพ่อ ไม่เคยกอดแม่เลย แม่แต่ครั้งเดียว

    มันคงเป็นเพราะความอายหรืออะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้ผมเขินๆอายๆเวลาเจอพ่อเจอแม่ แต่ผมก็รู้ว่าท่านรักผมมากหรือมากที่สุดก็ไม่ทราบ เพราะด้วยผมนั้นเป็นน้องคนสุดท้อง ไอ้หนุ่มหมายเลข 9 จาก 9 คนพี่น้อง พี่สาว 5 คน พี่ชาย 3 คน ผมไม่เคยคิดอะไรมากเรื่องแบบนี้ คิดว่ามันน่าอาย ไม่เท่เวลาเจอพ่อแม่แล้วกอด แต่แล้วความคิดก็เปลี่ยนไป เมื่อผมเข้ามหาลัย ตอนปี 1-2 ผมกลับบ้านเกือบทุกอาทิตย์เพราะคิดถึงบ้านเสมอ แต่เมื่ออยู่ ปี 3-4 ผมเริ่มไปเที่ยวบ้านเพื่อนบ่อยๆ ไปต่างจังหวัด ยิ่งสามจังหวัดชายแดนใต้ผมไปบ่อยมาก เกือบทุกอาทิตย์ และผมก็ตั้งใจไว้ เอาวะ 1 ปีค่อยกลับบ้าน

    จากอาทิตย์เป็นเดือน สามเดือน สี่เดือน ห้าเดือน หกเดือน เกือบปิดเทอมเต็มทีผมก็ยังไม่กลับบ้าน เป็นครั้งแรกในรอบสองปีที่พ่อโทรหาผม ถามผมว่า สบายดีไหม สอบหรือยัง สอบวันไหน กินข้าวหรือยัง ทำไมมหาลัยเขาไม่ปิดให้กลับมาบ้านบ้างหรือลูก พ่อถาม ผมก็ตอบทื่อๆไปแล้ววางสาย

     ผมรู้สึกเสียใจนิดๆ ผมถามตัวเองพ่อรักเรามากแค่ไหน แม่รักเรามากแค่ไหน แล้วตัวเราหละรักพ่อรักแม่มากแค่ไหน ใครรักใครมากกว่ากัน ผมว้าวุ่นในจิตใจ ก่อนปิดเทอมผมจึงตัดสินใจกลับบ้านไปหาพ่อหาแม่ เมื่อผมกลับไปที่บ้านดูอะไรๆหลายๆอย่างมันเปลี่ยนไป

     กล้วยป่าที่ผมเคยเอามาปลูกไว้มันออกลูกดกทิ้งเครือไว้มากมาย ขนุนที่ปลูกไว้หน้าบ้านหลังบ้านมันโตเร็วจนผมแปลกใจทีเดียว ภาพที่ผมเห็นพ่อแม่ยืนรออยู่หน้าประตูบ้าน ความรู้สึกนั้นเหมือนท่านทั้งสองรอผมมาแสนนานทีเดียว เพราะที่บ้านไม่มีใคร มีแต่พ่อกับแม่ ส่วนพี่ชายพี่สาวก็ออกเรือนหมดแล้ว ผมเข้าไปทักแม่ ไปกอดพ่อ กอดแม่ ครั้งแรกในรอบ 20 กว่าปี มันเหลือเชื่อจริงๆ ท่านหอมแก้มผม ผมอึ้งไปพักหนึ่ง ………………..ผมไม่ได้ฝันไป

     ผมจึงทราบดีแล้วว่ารสชาติชีวิตวัยรุ่นมันเป็นอย่างไร เป็นวัยที่คิดอะไรไม่รอบคอบ คิดแต่สนุกสนาน คิดแต่เท่ คิดว่าเพื่อนคือทุกสิ่งทุกอย่าง และคิดว่าเพื่อนรักเรามากที่สุด แต่เมื่อผมเจออะไรๆมามากมาย ผมวิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมา พ่อกับแม่เท่านั้นที่รักผมมากที่สุด

    พ่อยิ้มอย่างสุขใจเมื่อเห็นผม แม่เป็นปลื้มมากเมื่อเจอผมเช่นกัน แถมแม่บอกทิ้งท้ายว่าพ่อมึงเชือดไก่ชนตัวโตของพ่อ แกงเผ็ดให้ผมแล้ว ผมยิ้ม….ลาบปากเลย

    ประมาณวันสองวันที่ผมกลับมาบ้าน ดูที่บ้านมันเงียบๆผิดปกติ อาจเป็นเพราะมหาลัยหรือในเมืองที่เสียงรถเสียงคนมันกรอกหูผมจนชาเสียแล้ว จนผมดูผิดปกติไปเสียแล้ว เมื่อครุ่นคิดดูดีๆว่าความวุ่นวายในเมืองมันเป็นสิ่งแปลกประหลาดอย่างหนึ่งที่ดูไม่น่าพิสมัยนัก

    เย็นวันนั้นผมคุยกับแม่หลายๆเรื่อง ไม่ว่าเรื่องเรียน เรื่องที่จะจบ เรื่องเงินๆทองๆและถึงเรื่องมรดก จนแม่เล่าเรื่องให้ฟัง แม่บอกผมพักหนึ่งแล้ว ที่บ้านเราขายที่ขายไร่ไปก็หลายไร่ ได้เงินมาก็หลายแสนบาท เมื่อที่ดินขายได้ ลูกๆหลานๆก็กลับมาเยี่ยมเยียน เพื่อมาพบพ่อพบแม่หรือไม่รู้ว่าจะกลับมาเอาส่วนแบ่งยังไงก็ไม่ทราบ ต่างคนก็ต่างอยากได้เงิน ทุกๆคนต่างเรียกร้องเงินส่วนมรดก ทุกๆคนจึงถูกแบ่งให้เท่าๆกัน แต่มันก็มีปัญหา ฝ่ายลูกชายก็จะเอาเยอะกว่า เพราะอ้างเหตุว่าฝ่ายลูกสาว ไม่มีสิทธิ์แล้ว มันไปมีผัว มีลูก เปลี่ยนนามสกุล มันไม่มีสิทธิ์แล้ว เรื่องมันเลยเริ่มวุ่นวายยุ่งยาก จนเกือบที่พี่น้องท้องเดียวกันขัดแย้งทะเลาะกัน เป็นเรื่องเป็นราว พ่อก็เครียด แม่ก็ทุกข์ จนเมื่อส่วนแบ่งตามที่ทุกคนต้องการได้ไปเรียบร้อย ทุกคนก็เงียบหายไปอีกรอบเช่นเดิม

     ผมจำได้ดีผมเคยเถียงกับพี่ๆจนครั้งหนึ่งโดนโต้กลับมา พี่ชายบอกผมว่า กูก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากมายเลย แต่มันเป็นสิทธิ์ของกู วันนี้มึงไม่มีลูก ไม่มีเมีย ไม่มีครอบครัว มึงไม่คิดอะไร แต่วันหนึ่งมึงจะรู้สึกและคิดได้

     คำพูดคำนั้นมันทิ่มแทงเข้าไปในกะโหลกของผมให้ผมต้องคิดหนัก ผมตอบไปกับแม่อย่างหัวเสีย หากว่าพี่ๆต้องการอะไร ใครจะเอาอะไร ก็ให้เขาไป ให้ไปให้หมดเลย ผมไม่อยากได้ เอาไปเลย แม่ก็นิ่ง นิ่งจนผมแปลกใจและน่าสงสาร

    ผมบอกแม่อีกครั้งว่า ที่ดิน นา ไร่ ป่ายาง ให้แม่ชวนพ่อไปอำเภอ ไปกรมที่ดินอำเภอ ให้เขามาจัดการแบ่งโฉนดให้ลูกๆให้เรียบร้อย ทั้งพ่อทั้งแม่จะได้สบายใจ ผมหัวเสียอย่างมากเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ คำพูดของพี่ๆมันยังคงดังก้องในหัวสมอง คำพูดของแม่มันวิ่งวนไปมาในโสตประสาท ความวุ่นวายหรือความเลยร้ายมันจะมาในรูปแบบใดอีกหนอ

    อย่าให้พ่อมึงตายก่อน! เดี่ยวอะไรๆมันจะวุ่นวายและยุ่งยากไปมากกว่านี้ ตอนนี้พ่อของมึงยังอยู่ ไม่เห็นมีใครหน้าไหนมาฟัง มาดูดำดูดีอะไรเลย วันๆมันเอาแต่ทำงานๆ ดูแลลูก แต่เมีย แต่ผัวของพวกมัน คิดแล้วกูหนักใจจริงๆ แม่บ่นสบถกับผมเมื่อยามเย็นวันนั้น วันที่ดูท้องฟ้ายังสดใสอยู่ ดูอะไรๆมันยังมีความหวัง มีแสงสว่างอยู่รำไร แต่เมื่อผมนึกได้ ผมทราบดีว่ามันใกล้เข้ามาแล้ว ที่ความมืดมิดมืดดำที่จะมาปกคลุมบ้านเรา ความสว่างจะถูกพรากไปจากเรา สายตาของเราจะพร่ามั่ว ความกลัวความกังวลและอุปสรรคปัญหานานาประการคงเริ่มใกล้ถาโถมเข้ามาเต็มที ผมรู้ดี  ผมทราบดี แต่แม่รู้ดียิ่งกว่าผม

เจ้าชาย

19 / 6 /55

หมายเลขบันทึก: 493010เขียนเมื่อ 1 กรกฎาคม 2012 10:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 กรกฎาคม 2012 10:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท