พี่จ๋า เพื่อนรุ่นพี่ของผม ส่งข้อความทาง Line มาถามว่า ถ้าเธอทำงานที่หาดใหญ่สัก3-4 วันต่อสัปดาห์ และทำงานที่ศรีราชาสองสามวัน เห็นด้วยไหม
พี่หมออู๊ดเป็นเจ้าของคลินิกอยู่ที่พัทยา ในขณะเดียวกันก็เป็นเจ้าของร้านขายยาที่เชียงใหม่
พี่แซมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด นัดผมทานข้าวกลางกรุงเทพในค่ำวันหนึ่ง เพราะมาติดต่อธุรกิจส่วนตัว
ในขณะที่ผมทำงานที่ศรีราชาในบางวัน และบางวันไปทำงานในกรุงเทพ ซึ่งถ้าผมบอกว่าเป็นคนละองค์กรกัน บางคนอาจจะแปลกใจ ในขณะที่บางคนอาจจะเห็นเป็นเรื่องปกติ ที่เป็นแบบนั้นเพราะว่า เราอยู่ในสังคมที่ผสมผสาน และกำลังก้าวผ่านจากวัฒนธรรมหนึ่งสู่อีกวัฒนธรรมหนึ่ง
ผมไม่รู้ว่าในทางทฤษฎีสังคมศาสตร์ ควรจะเรียกชื่อวัฒนธรรมแบบหนึ่งและวัฒนธรรมแบบสอง ว่าอะไร แต่ผมอธิบายได้ว่า วัฒนธรรมแบบหนึ่งก็คือ การที่เรา..ในฐานะคนทำงานยึดตัวเองอยู่กับองค์กรหนึ่ง ผูกพันภักดีกับองค์กรและได้รับเงินเดือนจากองค์กรเดียว บางองค์กรก็มีสวัสดิการเสริมดูแลเทคแคร์กันไปมากบ้าง น้อยบ้าง แต่ในรูปแบบของวัฒนธรรมสอง ก็คือคนคนหนึ่งไม่ได้ยึดติดอยู่กับงานใดงานหนึ่ง บางคนทำงานสองที่ สามที่ สี่ที่ บางคนถึงขั้นประกาศตัวเองว่า ฉันเป็นคนทำงานอิสระ(Freelance)
ถ้าถามผมว่าทำไมถึงเลือกทำงานมากกว่าหนึ่งที่ ผมก็จะตอบว่า ชีวิตจำเป็นต้องมีทางเลือกมากกว่าหนึ่งทาง และคุณก็ไม่มีทางบอกได้หรอกว่า ความผูกพันกับองค์กรที่คุณฝากชีวิตอยู่จะหมดสิ้นลงเมื่อใด มันก็เหมือนโทรศัพท์มือถือนั่นแหละครับ แบตเตอรี่จะค่อยๆหมดไปเรื่อยๆ การชาร์จไฟไม่ได้การันตีว่าแบตเตอรี่จะไม่เสื่อมและคุณจะไม่เปลี่ยนโทรศัพท์ ถ้าผมพูดแบบนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมคงถูกผู้ใหญ่หลายๆคนว่า ไม่มีความภักดีกับองค์กรเอาเสียเลย แต่ถ้าคุณถามคนทำงานที่อายุน้อยกว่า 30 ในตอนนี้ คุณจะได้รับคำตอบคล้ายๆกับคำตอบของผม มันหมดยุคของการทำงานที่เดียวตั้งแต่เรียนจบจนกระทั่งเกษียณอายุการทำงานแล้วครับ
แล้วก็มีคนถามว่า ไม่มีความคิดที่จะไต่เต้าตำแหน่งขึ้นเป็นผู้บริหารขององค์กรบ้างหรือ คิดน่ะก็คิดอยู่หรอกครับ สมมตินะครับ สมมติว่าผมมีความสามารถสูงส่งพอที่จะเป็นผู้บริหาร ได้ มันมีที่ทางมากพอที่คนรุ่นผมจะดีดตัวขึ้นไปเหรอครับ ถ้าบังเอิญพ่อแม่ปู่ย่าตาทวดของเราไม่ใช่เจ้าขององค์กรนั้น และเราจะต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าคนรุ่น Babyboom จะล้มหายตายตกจากเก้าอี้กันไป และเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าขณะที่เป็นหัวหน้าแผนก เราจะไม่ถูกผู้อำนวยการเขี่ยออกจากตำแหน่งในวันพรุ่งนี้ ในขณะที่คุณเป็นผู้อำนวยการคุณอาจจะถูกบอร์ดบริหารเด้งออกจากองค์กรวันมะรืนนี้ มันไม่สนุกเลยกับการมีตำแหน่งสูง แต่เราไม่สามารถทำนายชะตากรรมของตัวเองได้ ทั้ง Unpredictable และ uncontrollable ก็เพราะแบบนี้ไงครับ ยุคนี้จึงเป็นยุคของคนทำงานหลายอย่างแบบเผื่อเลือก และในที่สุดเมื่อคิดจะลงหลักปักฐานกับอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็จะเริ่มต้นสร้างอาณาจักรของตัวเอง เราจึงได้เห็นธุรกิจเล็กๆมากมายในสังคมของประเทศนี้ เช่น ร้านขายข้าวมันไก่ ที่เจ้าของร้านรับจ๊อบเป็นนายแบบในบางวัน วินมอเตอร์ไซค์ที่ตอนกลางคืนแปลงร่างเป็นนักดนตรีในร้านอาหาร อาจารย์มหาวิทยาลัยที่เป็นเจ้าของบริษัทรับให้คำปรึกษา หมอที่เป็นเจ้าของสปา(Spa) พนักงานบัญชีที่เป็นเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆ เป็นต้น
และถ้าจะพยายามค้นหาเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เกิดวัฒนธรรมแบบนี้ขึ้นในโลก ผมคิดว่ามันมีแค่ 2 เหตุผล เหตุผลแรก ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับคนทำงานดีมากพอที่จะทำให้คนรู้สึกผูกพันมากไหม มันก็เหมือนเราคบใครสักคนนั่นแหละครับ ถ้าเราจะรักใครสักคนอย่างสุดหัวจิตหัวใจจนถึงขั้นแต่งงานกัน ควรจะต้องเริ่มจากความไว้เนื้อเชื่อใจกันก่อน ในแง่เดียวกันความไว้เนื้อเชื่อใจมีมากแค่ไหนระหว่างองค์กรกับพนักงาน องค์กรได้ทำอะไรให้คนทำงานรู้สึกไว้ใจถึงขั้นจะฝากชีวิตไว้ไหม
เหตุผลที่ 2 คือเป้าหมายในการดำรงชีวิต มีความหลากหลายมากในเรื่องเป้าหมายในชีวิต แต่เชื่อเถอะครับ ถ้าเราเชื่อในทฤษฎีของมาสโลว์ (Maslow) สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ทุกคนต้องการความมั่นคงหรือความรู้สึกปลอดภัยในชีวิต และบังเอิญก็มีคนกลุ่มหนึ่งรู้สึกว่า ความมั่นคงไม่ใช่หมายถึงการมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงๆในองค์กรหนึ่งอีกต่อไป
คุณอาจจะส่งเอกสารฉบับหนึ่งข้ามจังหวัดโดยใช้บริการแบบไปรษณีย์ดั้งเดิม แต่เชื่อไหมครับ คนรุ่นผมนอกจากจะส่งจดหมายลงทะเบียนแล้ว และเพื่อยืนยันว่าสารจะส่งไปถึงผู้รับ เราส่ง soft file ไปในรูปจดหมายอิเลคโทรนิคส์หรืออีเมล์ไปพร้อมๆกันด้วย และบ่อยๆหากไม่ใช่เอกสารที่เป็นความลับอะไรเราก็ถ่ายรูปโชว์ในfacebook ให้คนปลายทางได้รับรู้ทันทีด้วย
ชีวิตมีทางเลือกมากกว่าหนึ่งทางเสมอ นั่นขึ้นอยู่กับว่าเราได้มองหาหนทางหรือไม่ แต่ผมก็คงต้องถามว่า แล้วเราจำเป็นต้องเลือกด้วยเหรอ ถ้าเราทำได้ทั้งสองอย่าง?
(วันเสาร์ที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕)
ÄÄÄ..ชีวิต...ของคนรุ่นนี้..(ตั้งแต่..หกสิบและเดินหน้าต่อไป...จะพบแต่..คำว่า...มี.แต่(ไม่เป็น.อยู่)...อ้ะะๆๆๆ...(ยายธี)