เย็นวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นอีกวันที่ผมยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในชุมชน
โดยครั้งนี้ นิสิตจากชมรมนาฏศิลป์และดนตรีพื้นเมือง (วงแคน) ได้ชวนผมลงพื้นที่ด้วย เป็นการไปพบปะหารือกับแกนนำชุมชนบ้าน "ดอนหน่อง" เกี่ยวกับเรื่องกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในไม่กี่เดือนข้างหน้าตามนโยบาย "หนึ่งชมรม..หนึ่งชุมชน"
การไปครั้งนี้เป็นการไปนั่งพูดคุยกันครั้งที่ ๒-
ครั้งแรกเป็นการพูดคุยร่วมกับผู้ประสานงานและผู้แทนครูจากโรงเรียนบ้านดอนหน่อง ซึ่งครั้งนั้น ทางโรงเรียนแจ้งความประสงค์ว่าต้องการให้นิสิตมาช่วยสอนทักษะเกี่ยวกับการ "รำบายศรี" ให้กับนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๓-๔
ในเวทีทั้งสองเวที ผมพยายามหนุนนำให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Knowledge sharing) ร่วมกันให้มากที่สุด เพราะรู้ว่านิสิตกลุ่มนี้ยัง “ใหม่” ต่อการลงสู่ชุมชน โดยก่อนหน้านั้นผมได้ฝากเตือนให้เขาระมัดระวังเรื่องของการกำหนดกฎเกณฑ์ว่า “จะมาทำโน่น ทำนี่” แต่ให้พยายาม “รับฟังในสิ่งที่ชุมชนต้องการ และพยายามสืบค้นให้เห็นศักยภาพของชุมชน” ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
กรณีดังกล่าว ชุมชนสะท้อนแบบเป็นกันเองว่า ในเดือนตุลาคมนี้จะมีครูนาฏศิลป์คนเดียวของโรงเรียนจะเกษียณอายุราชการพอดี จึงอยากให้นักเรียนได้รำบายศรีสู่ขวัญให้กับครูของตนเอง
ประเด็นดังกล่าว ผมพยายามกระตุ้นให้มีการพูดคุยในเชิงลึกมากขึ้น จนตกผลึกเป็นมิติโดยสังเขป ประมาณว่า
สำหรับครั้งที่สองนั้น
ผมพยายามซักถามถึงประเด็นการนัดหมายกับแกนนำชาวบ้านว่าชัดเจนแค่ไหน
เช่น นัดหมายแบบเร่งด่วนหรือไม่
นัดหมายชัดเจนหรือเปล่าว่าจะมาคุยเรื่องอะไร
เพราะเรื่องที่จะนำมาคุยนั้น
เป็นตัวกำหนดเป้าหมายกลุ่มคนในชุมชนที่จะมาพบปะพูดคุยกัน
ซึ่งก็ได้ข้อมูลแจ่มชัดขึ้นว่าการนัดหมายครั้งนี้ด่วนดิบอยู่มาก แกนนำชาวบ้านจึงแทบประสานกันไม่ทัน แต่ด้วยสัมพันธภาพต่างๆ ผมจึงช่วยประสานผ่านเครือข่ายชุมชน เพื่อคลี่คลายปัญหาดังกล่าว ด้วยการนำพาผู้ใหญ่บ้านและแกนนำที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยกันถึงรายละเอียดที่ต้อง ”ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ และร่วมลงมือทำ”
ครับ-ผมเป็นคนให้ความสำคัญกับกระบวนการลงชุมชนเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะการเตรียมชุมชนในระยะ “ต้นน้ำ”
ที่ต้องให้ชุมชนมีส่วนร่วมให้ได้มากที่สุด กระบวนการเข้าพบผู้นำ
และขยายผลไปสู่แกนนำต่างๆ แล้วขยายไปในภาพกว้างต่อกลุ่ม
“ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” นั้นสำคัญอย่างยิ่ง
หากทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมช่วยให้กิจกรรม หรือกระบวนการ
(Process) ที่ต้องปฏิบัติการ (Action)
เป็นไปอย่างมีส่วนร่วมและมีประสิทธิภาพ
ในทางกระบวนการปฏิบัติการจริงนั้น ผมไม่ห่วง หรือวิตกมากนัก เพราะนิสิตชาววงแคนมีความรู้และทักษะในด้านดนตรีและนาฏศิลป์ และการเย็บพานบายศรีอยู่มากเหมือนกัน เพราะพวกเขาเป็นนิสิตโควตาในโครงการส่งเสริมเยาวชนดีเด่นด้านศิลปวัฒนธรรม
ขณะที่ชาวบ้านก็มีความรู้เหล่านี้อยู่มากโข จึงเรียกได้ว่าทั้งนิสิตและชาวบ้านนั้น ต่างฝ่ายต่างมีความรู้ฝังลึกอยู่ในตัว (Tacit Knowledge) ขึ้นอยู่กับว่าจะค้นหากลวิธีในการผนึกเป็นกำลังถ่ายทอดไปยังลูกๆ หลานๆ อย่างไรเท่านั้นเอง เพราะหากสามารถหาสูตรที่ลงตัวได้ ย่อมเกิดเป็นปัญญาร่วมกัน (collective wisdom) และถือเป็น “ปัญญา” ที่เกิดจากการเปิดใจเรียนรู้ร่วมกันผ่านกิจกรรม หรือการปฏิบัติ (interactive learning through action) ที่ทรงคุณค่า เสมือนการจัดการความรักควบคู่ไปกับการจัดการความรู้
ครับ-ก่อนจากกันในวันนั้น ผมเสนอแนะให้นัดหมายการประชุมในครั้งถัดไปล่วงหน้าไว้เลย เพื่อมิให้ประสบปัญหาเหมือนคราวนี้ พร้อมๆ กับการฝากให้นิสิตทำการบ้านมาล่วงหน้าอย่างเป็นรูปธรรมว่าจะมาพูดคุย หรือหารือเรื่องใดบ้าง และกลุ่มคนจากชุมชนจะเป็นใครบ้าง –
เช่นเดียวกันนั้น ผมได้ฝากให้แกนนำชาววงแคนได้บันทึกข้อสรุปจากการหารือร่วมกับชาวบ้านในแต่ละครั้งว่าได้ข้อสรุปอย่างไร เพื่อสื่อสารให้กับสมาชิกได้รับรู้ รวมถึงการจดบันทึกปัญหาการประสานงานในแต่ละครั้งว่าเกิดจากอะไร เพื่อมิให้ปัญหาเหล่านั้นวนเวียนกลับมาเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก
หรือแม้แต่การฝากย้ำให้มาก่อนเวลา และส่วนหนึ่งก็ขอให้มาช่วย "เข้าครัว" ร่วมกับชาวบ้าน ไม่ใช่ปล่อยให้ชาวบ้านทำอาหารเลี้ยงแต่เพียงฝ่ายเดียว...
เพราะทั้งปวงนี้ คือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในการเตรียมชุมชน ที่จะช่วยให้การทำงานภาคสนามมีระบบและประสิทธิภาพมากขึ้น
และผมเองก็ไม่ปรารถนาให้นิสิตมองข้ามในเรื่องเหล่านี้ เลยจำต้องพูดเช่นนั้น เพื่อให้พวกเขาเก็บเอาไปคิดและพัฒนากระบวนทัศน์ของตนเอง และพร้อมที่จะเรียนรู้กระบวนการทำงานร่วมกับชุมชนได้อย่างหนักแน่น
๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๕
๑๘.oo-๒๐.oo น.
บ้านดอนหน่อง
เอาดอกไม้มาให้ ๑ ดอกครับ ;)...
เรียนท่านอาจารย์แผ่นดิน. "..หรือแม้แต่การฝากย้ำให้มาก่อนเวลา และส่วนหนึ่งก็ขอให้มาช่วย "เข้าครัว" ร่วมกับชาวบ้าน ไม่ใช่ปล่อยให้ชาวบ้านทำอาหารเลี้ยงแต่เพียงฝ่ายเดียว.."
นับเป็นการลงชุมชนที่ฝึกการเรียนรู้ วิถีชาวบ้าน เป็นการพันผูกที่สามารถไปหาหาสู่อย่างตลอดไป เพราะเขาเกิดความยอมรับ....รับเป็นลูกเป็นหลาน ในการฝึกเรียนรู้
ความมีคุณค่า อยู่ที่การสร้างคุณค่า ไม่ใช่เอาแต่วิชากลับไปมหาวิทยาลัย.
สวัสดีครับ อ.วัส Wasawat Deemarn
รับไว้ด้วยใจครับดอกไม้ และจะรดน้ำพรวนดินกันต่อไป
ปลูกไว้ที่ใจ..เบ่งบานที่ใจนะขอรับ
สวัสดีครับ พี่วอญ่า-ผู้เฒ่า-natachoei
ประเด็นที่ผมพูดถึงนั้น จริงๆ มาจากปัญหาด้วยเหมือนกัน เรื่องการสื่อสาร เรื่องกาลเวลาที่เหมาะสมของการไปพบปะกับชาวบ้าน
และที่สำคัญก็คือกระบวนการฝากตัวเป็น "ลูกฮัก"
ถือเป็นเครื่องมือหลักที่เราปักธงไว้
ครับการเข้าครัว- จะทำให้นิสิตได้เข้าไปใช้ชีวิต สัมผัสชีวิต
สัมผัสเรื่องราวต่างๆ ได้สนิทชิดเชื้อกันมากขึ้น
ขอบคุณครับ
อาจารย์คะ,
มิทราบว่าน้องๆ นิสิตเรียนสาขาวิชาอะไรคะจึงได้มีกิจกรรมดีดีเช่นนี้ เป็นตัวบังคับหรือตัวเลือกหรือเปล่าคะ พอดีที่เคยเรียนมาเป็นสายวิทย์ค่ะ อยู่แต่ในห้องแลปเล็กๆ ไม่เคยได้ทำกิจกรรมหรือเรียนในทำนองนี้ เห็นหลายๆบันทึกของอาจารย์เป็นการทำงานกับชุมชนทั้งนั้นเลย คิดว่าน่าสนใจน่าตื่นเต้นมากค่ะ ขออภัยที่ชอบเอาไม้บรรทัดวัดความรู้สึกตัวเอง ;)
ขอบคุณค่ะ
ครับ ...ปริม pirimarj
นิสิตกลุ่มนี้เป็นนิสิตในโครงการส่งเสริมเยาวชนดีเด่นด้านศิลปวัฒนธรรม ครับ ...เรียนหลากคณะ มีทั้งเภสัช-พยาบาล-มนุษย์-วิทย์-บัญชี-สถาปัตย์-วิทยาลัยการเมือง -ศึกษาศาสตร์ ฯลฯ แต่จะมีความสามารถในด้านดนตรี นาฏศิลป์ ทัศนศิลป์ ขับร้อง หัตถกรรม ซึ่งทั้งหมดเป็นเด็กๆ ในภาคอีสานครับ
นิสิตกลุ่มนี้เป็นชมรมนาฏศิลป์และดนตรีพื้นเมือง (วงแคน) หลักคือ วงโปงลางนั่นเอง..
กิจกรรมดังกล่าว
เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่มุ่งให้นิสิตได้เรียนรู้ชุมชน
เรียนรู้ความเป็นวัฒนธรรม ภูมิปัญญา หรือมรดกทางวัฒนธรรม
เพียงแต่มีกิจกรรมเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนกับชุมชน...
เป็นการค้นหาสิ่งดีๆที่อยู่ในชุมชน
และสนับสนุนให้ชุมชนเป็นคนคิดเองว่าอยากจะก้าวไปในทิศทางใด โดนตนเอง
สวัสดีครับ พี่เขี้ยว มนัญญา ~ natachoei ( หน้าตาเฉย)
กิจกรรมครั้งนี้ นอกจากการสอนทักษะเรื่องการฟ้อนรำบยศรีแล้ว สิ่งสำคัญก็คือการสำรวจค้นหาปราชญ์ชาวบ้านแขนงต่างๆ และการสอนที่กล่าวถึงนั้น ก็จะนำปราชญ์ชาวบ้านในชุมชนมาร่วมเป็นผู้สอนลูกสอนหลานไปพร้อมๆ กัน
กระบวนการเช่นนั้น ผมเชื่ออยู่อย่างว่าจะเป็นการค้นหาคลังความรู้ในชุมชนและเป็นการเสริมพลังชีวิตให้กับบุคคลสำคัญในท้องถิ่น ที่นับวันก็ถูกกระแสบริโภคนิยมกลืนกินไปทีละนิดๆ...
ชอบ ๆ ๆ ๆ กระบวนการเรียนรู้จากการศึกษาเอง ทำเอง...โดยครูพี่เลี้ยงชี้แนะ
เห็นด้วยยิ่งกับการพลิกฟื้นศรัทธาต่อคนสำคัญของท้องถิ่น ก่อนที่จะสายเกินไป
ให้ต้นไม้ทั้งต้นเลยนะคะ .... เลียนแบบครู Wasawat Deemarn
ชอบแนวคิด "ลูกฮัก" ค่ะ
ขอบคุณค่ะท่านอาจารย์
สวัสดีครับ พี่ธิรัมภา
ในช่วงที่นั่งประชุมกันนั้น เห็นแววตาสุกใส มีประกายของชาวบ้านอยู่มาก โดยเฉพาะประเด็นของการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับ "ผู้รู้" ในศาสตร์ต่างๆ เพื่อจัดทำเป็นเอกสารให้เรียนรู้ รวมถึงการนำพามาร่วมกิจกรรมเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราว หรือแม้แต่แลกเปลี่ยนความรู้ และถ่ายทอดต่อนิสิต และลูกหลานในชุมชน
ผมเชื่อว่ากระบวนการเหล่านี้เป็นการหนุนเสริมพลังชีวิตได้เป็นอย่างดียิ่ง เพราะมันคือการค้นหาศักยภาพ ค้นหาความดี และเชิดชูความดี.ร่วมกัน
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ ครูนก noktalay
ขอบคุณที่แวะมาเติมกำลังใจนะครับ
ตอนนี้กิจกรรมของนิสิตอยู่ในระยะเก็บข้อมูลชุมชน และร่วมวิเคราะห์โครงสร้าง -บริบทชุมชน รวมถึงร่วมค้นหาจุดเด่น จุดอ่อน (SWOT) ร่วมกับชาวบ้าน เพื่อนำไปสู่การออกแบบกิจกรรมที่จะมีขึ้นร่วมกัน
ครับ-เหมือน ร่วมคิด-ร่วมตัดสินใจ-ร่วมดำเนินการ-นั่นเอง
ขอบคุณครับ
ครับ คุณ ...ปริม pirimarj
ขอบคุณที่แวะมาแลกเปลี่นเรียนรู้ร่วมกันนะครับ
ก่อนที่จะทำอะไรแน่นอนว่าเราต้องทราบถึงบริบทของแต่ละที่เพื่อจะได้นำข้อมูลมาจัดทำโครงการที่เป้นประโยชน์ต่อชุมชนต่อไป ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับน้องที่มีความตั้งใจจริงที่จะทำประโยชน์ค่ะ