ฝรั่งเมืองผู้ดี...หันมาดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ที่ อ.อุบลรัตน์


“เศรษฐกิจพอเพียง”

มาร์ติน  วีเลอร์

ฝรั่งเมืองผู้ดี...หันมาดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ที่ อ.อุบลรัตน์

                            .... โดย อำพน  ศิริคำ

 

ทานที่เคารพครับ !!!   “เศรษฐกิจพอเพียง”   เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระ

เจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทย เป็นหลักคิดในการดำเนินชีวิต ซึ่งหากบุคคลใดนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตแล้ว ชีวิตก็จะพบกับความสุข ไม่เดือดร้อน  ทั้งตนเองและครอบครัว ซึ่งไม่เฉพาะแต่ประชาชนคนไทยเท่านั้น แม้แต่ฝรั่งต่างชาติก็ยังได้นำหลักปรัชญานี้มาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ยังความสุข ความภาคภูมิใจแก่เจ้าตัวเป็นอย่างมาก อย่างเช่น    

นายมาร์ติน  วีเลอร์ วัย 44 ปี จากเมืองแบล็กพูล ประเทศอังกฤษ จบปริญญาตรีเกิยรตินิยมอันดับหนึ่งภาษาละติน จากมหาวิทยาลัยลอนดอน ผู้ซึ่งมีคุณพ่อจบการศึกษาระดับปริญญาเอก  เป็นผู้จัดการบริษัท ซึ่งมีลูกน้องกว่า 20,000 คน   แต่ได้หันเหชีวิต  มาปฏิบัติตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง    อยู่ที่บ้านคำปลาหลาย   ต.บ้านดง  อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น

คุณมาร์ติน ให้ข้อมูลว่า  มาอยู่เมืองไทยเป็นเวลา 14 ปีแล้ว โดยได้แต่งงานกับนางรจนา วีเลอร์ ชาวอำเภออุบลรัตน์  มีบุตรด้วยกัน 3 คน เป็นชาย 2 คนหญิง 1 คน

คุณมาร์ติน บอกว่าที่อังกฤษเขาหาว่าผมเป็นคนบ้า เป็นเด็กนิสัยเสีย เพราะพ่อแม่ส่งให้เรียนหนังสือแต่ไม่เอาความรู้ไปหาเงิน หลังจากที่เรียนจบแล้ ก็ไปทำงานก่อสร้าง แบกอิฐแบกปูนอยู่ 10 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนเองอยากจะเรียนรู้ชีวิต อยากรู้จักตัวเอง ว่ามีความรู้ความสามารถแค่ไหน มีความอดทนมั๊ย ท้าทายตัวเอง อยากผ่านชีวิตที่ยากลำบาก

 “ช่วงนั้นไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร  แต่ที่รู้แน่ๆคือไม่ใช่เงิน ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ปริญญา ต้องมีสิ่งอื่นๆ ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ก็เลยลองแบกอิฐ แบกของหนักไว้ก่อน แบกอิฐไปมาวันละหลายพันเที่ยว มันอิสระ มีเวลาคิด ได้สร้างความเข้มแข็งให้ร่างกายและจิตใจด้วย

คุณมาร์ติน เล่าว่า ชาวบ้านธรรมดาที่อังกฤษนั้นจริงๆแล้วเขาลำบากกว่าคนไทยมาก  ชีวิตของชาวบ้านที่อังกฤษแย่มาก คนที่นั่น 60 % ไม่มีบ้าน  ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาจะไม่ได้เป็นเจ้าของบ้าน ต้องไปเช่าบ้านจากเจ้านายตลอดชีวิต 98 %ไม่มีที่ทำกิน แล้วก็อยู่ในเมือง  เป็นขี้ข้าเขาหมด แม้แต่เป็นผู้จัดการก็เป็นขี้ข้าเขาด้วย เพราะไม่มีใครพึ่งตนเอง ไม่มีใครมีที่ทำกิน  ต้องไปหาเงิน  ชีวิตอยู่กับเงินอย่างเดียว ซึ่งการเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นไม่มีอะไรยั่งยืน ผมเชื่อว่าชีวิตมีอะไรมากกว่านั้น

                   คุณมาร์ติน ได้เปรียบเทียบระหว่างคนรวยอังกฤษกับคนไทยอย่างน่าสนใจว่า คนอังกฤษอยู่บ้านนอกไม่ได้เพราะมีที่นิดเดียว พวกขุนนางยึดหมด คนยากจนจึงอยู่ชนบทไม่ได้ ต้องไปอยู่ในเมืองที่สกปรก แออัด คนที่อยู่กลางเมืองใหญ่ๆจะเป็นคนจนที่สุด ที่อยู่ชานเมืองจะเป็นพวกครู ข้าราชการ ส่วนคน

ที่ได้อยู่บ้านนอกจะต้องเป็นคนรวยถึงขั้นจริงๆ เป็นพวกขุนนางใหญ่โต มันเป็นเรื่องแปลกที่ได้มาอยู่ขอนแก่นเห็นชาวบ้านแต่ละคนมีที่ดินเยอะมาก ชาวบ้านธรรมดาคนเดียวมีที่ดิน 50 ไร่ บางรายถึง 200 ไร่

สภาพก็สะอาด อากาศก็ดี ตอนแรกได้กลิ่น ผมก็ว่ากลิ่นอะไร? อ๋อ มันกลิ่นธรรมชาติ ผมไม่เคยดมมาก่อน โอ้ สุดยอดเลย คนอื่นว่าฝรั่งมันบ้า เพราะเขาไม่คิดว่าทำไมฝรั่งอยากไปอยู่บ้านนอก เขาคิดว่าฝรั่งมีแต่คนรวยเขาไม่รู้จริงๆว่าฝรั่งส่วนมากลำบาก บ้านก็ไม่มี ที่ดินก็ไม่มี ลูกก็ไม่มีอนาคต

ได้พบกับคุณรจนาที่กรุงเทพฯ อยู่ด้วยกันไม่นานก็มีลูก จึงได้ตัดสินใจไปอยู่บ้านนอกกับแฟน แต่ปัญหาคือทำเกษตรไม่เป็น ช่วงแรกก็ลำบาก ต้องกลับมาแบกอิฐเหมือนเดิมวันละร้อยยี่สิบบาท ช่วงนั้นเป็นเดือน 4 อากาศก็ร้อนกว่า 40 องศา บางครั้งเป็นลม เขาก็เอาน้ำมาสาด บางคนก็ว่าฝรั่งมันบ้า ทำไมไม่กลับบ้าน คิดผิดหรือเปล่าที่ต้องมาลำบากขนาดนี้ เขาคิดว่าผมเป็นฆาตกร ไปฆ่าคนที่อังกฤษแล้วกลับบ้านไม่ได้ หนีคดีมา ซึ่งความจริงไม่ใช่  เพียงต้องการหาคำตอบในชีวิตบางเรื่องเท่านั้น อยากหาความสุขที่ยั่งยืน

ปัจจุบันได้พักอาศัยและทำการเกษตรบนพื้นที่ 6 ไร่ บางคนอาจจะว่ากระจอกมีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่งแล้วมันเยอะมาก  ซึ่งซื้อมาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว โดยได้ปลูกบ้านและปลูกพืชหลากหลายชนิด ดังนี้

กล้วยน้ำว้า 100 กอ มะละกอ 70 ต้น  เพกา 30 ต้น แคบ้าน 10 ต้น ปลูกยางนาประมาณ 1,000 ต้น โดยปลูกต้นตีนเป็ดและกล้วยเป็นไม้พี่เลี้ยง เมื่อโตระดับหนึ่งก็ตัดไม้พี่เลี้ยงออก โดยจะปลูกเพิ่มทุกปี นอกจากนี้ยังทำนาพื้นที่เกือบ 1 ไร่ มีการขุดสระน้ำไว้สำหรับกักเก็บน้ำไว้ใช้ในการเกษตรจำนวน 3 สระ ปลูกพืชผักหลายชนิด ปลูกไม้ผลและไม้ใช้สอยอย่างละ 3-5 ต้น เช่น ฝรั่ง ส้มโอ ชมพู่ ละมุด  มะยม มะเฟืองหวาน มะนาว มะกรูด ไผ่สร้างไพ ไผ่ด้ามขวาน  ฯลฯ  มีเรือนเพาะชำ   มีโรงเรือนปุ๋ยหมัก   ซึ่งผลผลิตที่ได้นอกจากจะบริโภคในครัวเรือนแล้วยังขายให้เพื่อนบ้านในราคาถูกอีกด้วย

ทุกๆวันผมจะตื่นตั้งแต่เช้าตรู่คือประมาณตีห้าถึงหกโมง ออกมาดายหญ้า  รดน้ำต้นไม้  ทำกิจกรรมต่างๆภายในสวน

“สภาพดินที่นี่ชาวบ้านทั่วไปจะปลูกพืชไม่ค่อยได้ผล เพราะว่าดินมันแฉะหรือที่ชาวบ้านเรียกว่ามันฮึม ซึ่งผมก็ได้นำดินจากที่อื่นมาใส่บางส่วน ทำให้ปลูกพืชได้ผลดีกว่าเดิม ”

                “ผมคิดว่าคนชนบทจริงๆ ใครที่มีที่ดินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ บางคนมีที่ดินเยอะแต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอนให้ลูกทำมาหากิน ผมถือว่างานที่อิสระและมีประโยชน์มากที่สุดคืองานเกษตร ช่วยให้

เราได้กินอิ่มทุกวัน  ไม่มีสารพิษ เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผมก็จะรวยที่สุด ผมอยากให้ลูกอยู่บ้านนอกเพราะว่าสะอาด ไม่อยากให้ลูกไปอยู่ในเมือง เพราะว่าคนเมืองเห็นแก่ตัว วิ่งหาเงิน”

           

หากท่านใดสนใจ อยากจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือเยี่ยมชมสวนติดต่อที่คุณรจนา วีเลอร์(ภรรยา) โทร.06-8514159

                                                                             อำพน  ศิริคำ

หมายเลขบันทึก: 488903เขียนเมื่อ 23 พฤษภาคม 2012 09:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 01:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท