หินแร่ภูเขาไฟนั้นไม่ใช่ปูนเป็นหินเดือด หินสุก หินลาวา หินเถ้าภูเขาไฟ มีความแตกต่างจากปูนโดโลไมท์และฟอสเฟตที่เป็นหินดิบ
กลุ่มวัสดุปรับปรุงดินในบ้านเราเร่ิมมีเกษตรกรเพิ่มความสนใจมากขึ้นเรื่อย
จากที่แต่ก่อนใช้แต่เพียงปุ๋ยเคมีใส่เสริมเพิ่มลงดินเพียงอย่างเดียวเพื่อเพิ่มแร่ธาตุสารอาหารให้แก่พืชนำไปในกระบวนการสังเคราะห์อาหารส่งไปเลี้ยงยังกิ่งก้านใบและผล
เพื่อให้ได้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น
การใช้ปุ๋ยเคมีต่อเนื่องมาอย่างยาวนานย่อมส่งผลให้ดินเสื่อมเสียจากกรดในรูปซัลเฟตที่ติดมากับปุ๋ยสะสมมากขึ้นเรื่อยๆจนทำให้เกิดปัญหาดินเปรี้ยว
แน่นแข็ง ดินไม่ตอบสนองต่อการใส่ปุ๋ย
แม้ว่าจะใส่ปุ๋ยเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมพืชก็ไม่แสดงอาการตอบสนองกินปุ๋ย
เนื่องด้วยดินที่มีสภาพเป็นกรดจะจับตรึงปุ๋ยไว้บางส่วนและปลดปล่อยให้ไนโตรเจนสูญเสียไปกับสายลมแสงแดดโดยง่ายพืชไม่สามารถที่จะดูดกินปุ๋ยได้อย่างที่ควรจะเป็น
โดโลไมท์และฟอสเฟต หรือจะเป็นกลุ่มวัสดุปูนชนิดอื่นๆ
จึงมีบทบาทอย่างมากในการนำมาแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยว ดินกรด
จนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายยาวนาน
เนื่องด้วยโดโลไมท์และฟอสเฟตเป็นกลุ่มวัสดุปูนที่นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาดินเปรี้ยวจากคุณสมบัติที่เป็นด่างสูงจัดแล้วยังให้แร่ธาตุปุ๋ยแมกนีเซียมและฟอสฟอรัสในราคาประหยัดช่วยให้พืชสังเคราะห์แสง
สร้างคลอโรฟิลล์ ช่วยเพิ่มรากให้ยาว หาอาหารได้มากกละไกลขึ้น
แต่กลุ่มวัสดุปูนเหล่านี้จะเป็นโทษเมื่อนำมาใช้กับดินที่มีคุณสมบัติเป็นกลางคือมีค่าพีเอชประมาณ
7 เพราะจะทำให้ดินมีค่าพีเอชเพิ่มสูงขึ้นจนเป็นผลเสียต่อพืช
เพราะดินจะสะสมความเป็นด่างมากขึ้นเรื่อยๆ จากปูนโดโลไมท์และฟอสเฟต
พืชส่วนมากจะเจริญเติบโตได้ดีในช่วงค่าพีเอช 5.8 - 6.3
คือเป็นกรดอ่อนๆ
จึงจะละลายแร่ธาตุและสารอาหารในดินออกมาเผ็นประโยชน์ต่อพืชได้ดีที่สุด
ส่วนหินแร่ภูเขาไฟนั้นไม่ใช่ปูนเป็นหินเดือด หินสุก หินลาวา
หินเถ้าภูเขาไฟ
มีความแตกต่างจากปูนโดโลไมท์และฟอสเฟตที่เป็นหินดิบจากที่ได้เคยเขียนหรือเล่าให้ฟังในบทความครั้งก่อน
ๆ หินแร่ภูเขาไฟทั้ง พูมิช (pumice), สเม็คโตไทต์ (Smectotite),
ม้อนท์โมริลโลไนท์ (Montmorillonite), ไคลน๊อพติโลไลท์
(Clinoptilolite) ฯลฯ
มีคุณสมบัติที่เป็นกลางและอุดมไปด้วยแร่ธาตุสารอาหารจากการหลอมรวมของหินหนืด
ลาวาและเถ้าภูเขาไฟที่เป็นประโยชน์ต่อพืชค่อนข้างมาก
ถึงแม้จะปลูกพืชอยู่บนพื้นดินที่เป็นหินแร่ภูเขาไฟเก่าก็ไม่มีผลกระทบที่เป็นโทษต่อการเจริญเติบโตเหมือนพืชที่ปลูกอยู่บนภูเขาหินปูน
เพราะหินแร่ภูเขาไฟนั้นแตกต่างจากปูน ทั้งฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย
(บาหลี) และญี่ปุ่นที่มีแหล่งหินแร่ภูเขาไฟเก่าอยู่ค่อนข้างมาก
จะมีการทำเกษตรกรรมปลูกข้าว ทำไร่อยู่บริเวณรอบๆภูเขาไฟอยู่มากมาย
โดยเฉพาะที่บาหลีนั้นมีความโดดเด่นในรูปแบบท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
เพราะมีสภาพของธรรมชาติที่เขียวสดงดงามเป็นวิวทิวทัศน์ที่งดงาม
อีกทั้งการทำการเกษตรนั้นไม่มีการใช้สารพิษเพราะได้อานิสงส์จากหินแร่ภูเขาไฟที่ช่วยให้เซลล์พืชแข็งแกร่งต้านทานต่อโรค
แมลง เพลี้ยหนอน ราและไรจนไม่มีความจำเป็นต้องใช้ "ยันต์กันเพลี้ย"
เหมือนในบางประเทศ
มนตรี บุญจรัส