นิทานของวันวาน


นิทานของวันวาน

นิทานของวันวาน

ตอน : คำถามเลือกคู่

 

                กาลครั้งหนึ่งเป็นกาลเวลาที่ผู้คนยังมีศาสนา มีศีลธรรม ยังนับถือบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดานางฟ้า มีผู้ที่ประพฤติดี ประพฤติชอบ ชุมชนปกครองโดยผู้ที่มีคุณธรรม  ประชาชนร่มเย็นเป็นสุข  เมืองน้อยเมืองเล็ก อย่างสงบสุขเสมอมา  ไม่มีสงคราม  ไม่มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น  ผู้คนมีอิสระในการทำมาหากิน  พระราชาผู้ปกครองเมืองเป็นผู้มีความรู้สูง  มีคุณธรรม  ได้ครองราชย์สมบัติมานานหลายปี  แต่ยังไม่มีพระมเหสีคู่บัลลังค์เลย  เนื่องจากพระองค์สนพระทัยที่จะศึกษาหาความรู้  และสนพระทัยปกครองดูแล สร้างความเจริญและความสงบสุขให้กับประชาชนมากกว่าสิ่งใด ให้เป็นที่ร้อนใจของบรรดาเสนาอำมาตย์อย่างมาก เกรงว่าในภายหน้าจะขาดผู้สืบราชบัลลังค์   
จึงพยายามที่จะสรรหาบรรดาหญิงงามจากหลาย ๆ เมือง  มาถวายรับใช้ 
แต่ก็ไม่ต้องพระราชหฤทัย  พระราชาก็ปฏิเสธที่จะรับเป็นมเหสีมาโดยตลอด  และสั่งห้ามไม่ให้สรรหาหญิงงามทั้งหลายเข้าวังอีก  เสนาอำมาตย์ทั้งหลาย  ต่างทูลคัดค้านอยู่หลายครั้ง  จนพระราชาคัดเคืองพระราชหฤทัย  พระราชาจึงตรัสว่า

                “ ถ้าพวกท่านกังวลในเรื่องนี้นัก  เราก็จะทำพิธีเลือกคู่ครอง  โดยการให้หญิงงามเหล่านั้นตอบคำถามของเรา  ถ้าหญิงใดสามารถตอบคำถามของเราได้ทั้งหมด  หญิงนั้นจะถูกคัดเลือกเป็นมเหสีแห่งเราทันที ”

                เหล่าเสนาอำมาตย์ต่างดีใจเป็นยิ่งนัก  มหาอำมาตย์ฝ่ายขวาผู้ใหญ่ท่านหนึ่งจึงทูลถามพระราชาว่า

“ เหตุใดพระองค์ไม่ทรงคัดเลือกสาวงามนางใดนางหนึ่งเป็นพระมเหสีเล่าพะยะคะ  ด้วยเดชะอำนาจบารมีของพระองค์ท่านจะคัดเลือกนางในไว้กี่คนก็ได้ ”

พระราชาตรัสว่า “ เรานิมิตถึงเทพยดาที่ปกป้องคุ้มครองเมืองเทวะนคร  ห้ามมิให้เรารับ เพชร พลอย ของผู้ใดที่ทูนถวายเข้าพระราชวัง  มิเช่นนั้นเมือง
เทวะนครจะเกิดพิบัติ  จนกว่าเพชรพลอยนั้นจะได้รับการเจียรนัย  ดังนั้นหญิงนางใดนางหนึ่งตอบคำถามเราได้ทั้งหมด  เราจึงจะรับนางผู้นั้นเข้าวัง นางผู้นั้นจึงจะเหมาะสมที่จะเป็นมเหสีแห่งเรา ”

มหาอำมาตย์ฝ่ายซ้ายจึงทูลว่า “ พวกข้าบาทต่างก็ร้อนใจว่าทำสิ่งใดให้พระองค์ไม่พอพระราชหฤทัย  จึงไม่ทรงโปรดหญิงงามที่ข้าบาทคัดเลือกมาให้    ข้าบาททั้งหลายจะรีบเร่งบอกกล่าวไปยังเมืองต่าง ๆ ให้รีบส่งลูกหลาน
ที่เป็นหญิงมาตอบคำถามของพระองค์ให้เร็วที่สุด  ประชาชนของเทวะนครจะได้มีความสุข  ไม่วิตกกังวลว่าจะไม่มีผู้สืบทอดราชบัลลังอีกต่อไป พะยะค่ะ ”

มหาเสนารับคำบัญชา  เร่งสั่งให้เหล่าเสนาอำมาตย์น้อยใหญ่   เร่งป่าวประกาศไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อให้บรรดาพ่อแม่ ญาติพี่น้องนำพาหญิงงามมาเข้าเฝ้า  วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าก็ไม่มีหญิงใดเลยที่จะตอบคำถามของพระราชาได้ทั้งหมด  ความวิตกกังวลเริ่มกลับมาอีกครั้ง

“ ท่านอำมาตย์ วันนี้ข้าทำการให้เสร็จแล้วนะขอรับ ครอบครัวเหล่านี้เป็นครอบครัวสุดท้ายที่มีลูกหลานเป็นผู้หญิง  ” 

มหาดเล็กเข้ามารายงานต่อมหาอำมาตย์ฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย  ซึ่งกำลังนั่งวิตกว่าจะทำอย่างไรต่อไป  อำมาตย์ฝ่ายขวา  ถอนหายใจเอ่ยเบา ๆ ว่า

“ เฮ้อ! ดูเอาเถอะ  พาลูกหลานที่เป็นหญิงสาวมาเฝ้าเพื่อตอบคำถามหมดอาณาเขตปกครองแล้ว  ถ้าวันนี้ไม่มีนางใดตอบคำถามได้อีก  พวกเราคงหมดหวังแล้ว ”

อำมาตย์ฝ่ายซ้าย  ลุกขึ้นยืนถอนหายใจแล้วพูดว่า

 “ เฮ้อ! แท้จริงแล้วหากพระราชาทรงคัดเลือกพระมเหสี  ที่รูปสวย  รวยทรัพย์  นับการบ้านการเรือนเพียงนั้นก็น่าจะพอ  มีให้เลือกมากมายนัก  แต่หากต้องนับสติปัญญาเข้าด้วยแล้ว  คงจะหายากเหลือเกิน ”

“ มเหสีคู่บัลลังค์พระราชาเมืองเทวะนคร  ต้องเป็นหญิงที่ชาญฉลาด  เพื่อภายหน้าพระราชบุตร ที่จะสืบทอดราชบัลลังจะได้เป็นที่พึ่งของประชาชนชาวเทวะนครสืบไปนานเท่านาน ”

มหาดเล็กวิ่งเข้ามาเข้ามาทำความเคารพแล้วกล่าวว่า 

“ ท่านมหาอำมาตย์ ขณะนี้เหลือครอบครัวอีก  2  ครอบครัวสุดท้าย  กำลังจะเข้าเฝ้าเพื่อตอบคำถามแล้วขอรับ ”

“ ถ้าเช่นนั้นเราก็รีบเข้าเฝ้ากันเถอะ ” 

เหล่าบรรดาเสนาอำมาตย์ทั้งหลายต่างรีบชวนกันเข้าเฝ้า  เพื่อเป็นสักขีพยานในการตอบคำถามของบรรดาสาวงามเหล่านั้น 

ที่หน้าประตูพระราชวัง  ตาธรรม และตาเที่ยง  สองครอบครัวแห่งเมืองพาย  เป็นสองครอบครัวสุดท้ายที่มีบุตรสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน  มาเตรียมตัวรอเข้าเฝ้า  ทหารมหาดเล็กเข้าไปต้อนรับและกล่าวคำทักทาย

“ ครอบครัวมีคนกี่คนช่วยบอกด้วย  ข้าจะได้แจ้งทหารยามด้านในให้ถูกต้อง ”

“ครอบครัวข้า มีมากันสี่คน  ลูกสาวข้าสองคน  คนนี้ชื่อดอกไม้  และคนนี้ชื่อ ดอกรัก  และคนนี้เมียข้านางดอกบัว”

ตาเที่ยงชี้ไปยังลูกสาวและเมียเพื่อแนะนำครอบครัวของตนเอง

“แล้วตาละพาใครมาบ้าง”

ทหารหันไปถามตาธรรม

“ข้ามากันสามคน  คนนี้เมียข้าชื่อนางสายทอง ”

ตาธรรมชี้ไปยังเมีย  และชี้ไปทางลูกสาว

“ คนนี้ลูกสาวข้า  ใคร ๆ ก็เรียกนางว่าลูกสาวตาธรรม ”

“อ้าว ! นางไม่มีชื่อหรอกหรือ”

ทหารมหาดเล็กคิ้วกระตุกเข้าหากันสีหน้าฉงน

“เมื่อก่อนนางก็มีชื่อ  แต่ตั้งแต่ป่วยปางตายก็ไม่กล้าเรียกชื่อเดิมอีก”

ตาธรรมบอกเล่าความครั้งเก่า

“เรียกกันว่าลูกสาวตาธรรมมาตลอด”

ทหารมหาดเล็กฟังแล้วพยักหน้าแบบไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่

“ถ้าเช่นนั้นรอข้าสักครู่  ข้าจะไปบอกความข้างในตามนี้ ”

ทหารวิ่งหายไปยังห้องด้านในเพียงครู่เดียวก็วิ่งกลับออกมา

“ขอเชิญท่านและครอบครัว  เข้าเฝ้าพระราชา  เดินตามข้ามาเลย ”

ในท้องพระโรง  ครอบครัวของตาเที่ยงและตาธรรมได้เข้าเฝ้าแนะนำตัวเรียบร้อยแล้ว  ลูกสาวของทั้งสองครอบครัวก็ถูกถามความสมัครใจในการมาตอบคำถามของพระราชา อำมาตย์ผู้ใหญ่หันไปทางครอบครัวตาธรรมแล้วถามว่า

“ลูกสาวก็ออกจะงดงามนัก  เหตุใดยังไม่ได้ออกเรือน  หรือเห็นว่ามีลูกสาวคนเดียวจึงหวงไว้นัก”

ตาธรรมหัวเราะส่ายหัวไปมา

“โฮ้ย!  ไม่ใช่ดอกขอรับ  เคยมีคนมาขอเหมือนกัน  พอจะตกลงจะยกให้  เพราะเห็นว่าเป็นคนดี  ลูกสาวก็จะป่วยปางตายทุกที ”

อำมาตย์ตบเข่าเสียงดังเพี๊ยะ

“บ๊ะ!  มีเรื่องอย่างนี้ด้วยรึ!  แล้วมาครั้งนี้ตอบคำถามเพื่อคัดเลือกผ่านได้เป็นมเหสี  มิต้องป่วยไปอีกรึ! ”

เมียตาธรรมที่นั่งนิ่งอยู่นาน  กลัวว่าลูกสาวจะไม่ได้เข้าตอบคำถาม  จึงรีบเล่าให้อำมาตย์ฟัง

“ พวกข้าทั้งหลายก็ร้อนใจ  ตอนป่วยปางตายก็อธิษฐานบนบานเทวดา  ถ้าลูกสาวหายป่วยเมื่อใด  ก็จะไม่ขัดใจเรื่องคู่ครอง  ให้สมัครใจรักใคร่ แล้วก็หายป่วยจริง ๆ  มีนักบุญทำนายไว้ว่าลูกบุญสูงนัก  คู่ครองเป็นผู้สูงศักดิ์  พวกข้าก็เลยไม่คิดจะยกให้ใครอีกเลย  และที่สำคัญท่านนักบุญบอกไว้ว่า  อย่าเอ่ยชื่อเก่าของนาง เพราะนางมีชื่อเรียกขานอยู่แล้ว  ผู้ที่เป็นคู่ครองของนาง  ผู้นั้นจะเป็นผู้เรียกขานชื่อเอง นังหนูก็เลยไม่มีชื่อเรียก ”

“ฮ้า! ขนาดนั้นเลยเหรอะ  แล้วเรียกขานกันอย่างไรล่ะนี่”

อำมาตย์อุทานอย่างแปลกใจ

“ก็เรียกขานกันว่าลูกสาวตาธรรม ขอรับ”

“พวกข้าก็รอผู้มีบุญช่วยเรียกขานนามมันมาตั้งนาน ก็ยังไม่พบซักที มาครั้งนี้ก็หวังว่าถ้าบุญลูกสาวข้ามีพระราชาทรงพระเมตตากล่าวขานชื่อมันได้ ลูกข้าจะได้มีชื่อเรียกขานกับเขาสักที”

“อ้อ!  ถ้าอย่างนั้นก็เรียกขานว่าลูกสาวตาธรรมไปก่อนละกัน  ไม่น่าเป็นห่วงอะไรนักนะ” 

อำมาตย์หันไปมองทางลูกสาวตาธรรม

  “แสดงว่าที่มานี่ก็มาเองด้วยความเต็มใจ  ไม่มีใครหักหาญน้ำใจให้มา” 

หญิงสาวรับคำเบา ๆ แล้วนั่งสงบนิ่ง  อำมาตย์มองดูอย่างชื่นชม  ช่างงดงามจริง ๆ กิริยามารยาทก็เรียบร้อย  ผิวพรรณก็ดูดีผิดกับพ่อแม่  ชะรอยเทวดาคงจะดลไว้ให้มีเนื้อคู่ที่ดีและสูงศักดิ์  แล้วอำมาตย์ก็หันไปทางครอบครัวตาเที่ยงแล้วถามว่า

“แล้วลูกสาวบ้านนี้ล่ะ  ทำไมยังไม่ออกเรือน”

เมียตาเที่ยงที่นั่งเงียบมานานรีบตอบทันที

“คือว่า...ที่ยังไม่ออกเรือนเพราะว่ามีนักบุญคนหนึ่งท่านทำนายดวงลูกสาวสองคนเอาไว้”

อำมาตย์สนใจที่จะฟังจึงซักไซ้ความต่อ  เมียตาเที่ยงจึงรีบเล่าว่า 

“ลูกสาวคนโตจะจมกองเงินกองทองไปจนตายเจ้าค่ะ”

อำมาตย์ได้ฟังถึงกับสะดุ้ง  ตาเที่ยงรู้ทันทีว่าเมียพูดผิดจึงรีบเข้าแก้ไข

“เมียข้าหมายถึง  จะร่ำรวยไปจนแก่ตายน่ะ ขอรับ”

อำมาตย์ถอนหายในหัวเราะชอบใจ

“เออ!...ค่อยน่าฟังหน่อย  แสดงว่าลูกสาวคนนี้มีบุญซินะ”

เมียตาเที่ยงบอกเล่าเรื่องลูกสาวคนเล็กต่อ 

“ส่วนลูกสาวคนน้อง  ท่านนักบุญก็ทำนายว่าจะได้สามีดีมาก  ไม่พูดไม่จา ฐานะดีค่ะ”

“อ๊ะ!  ไม่พูดไม่เจรจา  หรือไม่ค่อยพูดไม่ค่อยเจรจา”

อำมาตย์ได้ฟังจึงแย้งขึ้นด้วยความสงสัย

“ไม่พูดไม่เจรจาก็เป็นใบ้ หูหนวกซิแม่” 

ลูกสาวคนโตค้าน  ลูกสาวคนเล็กได้ยินก็ทำตาขมึงใส่พี่สาว

“พูดแบบนี้ มาแช่งกันได้ยังไง”

แม่เห็นลูกสาวจะทะเลาะกันต่อหน้าคนอื่น จึงปรามไว้

“แกสองคนอายเค้าบ้าง  จะทะเลาะกันทำไม  เดี๋ยวก็โดนไล่ไม่ได้คัดเลือกเป็นมเหสีหรอก”

ลูกสาวทั้งสองโดนแม่ดุจึงสงบเสงี่ยมลง  ตาเที่ยงจึงหันไปแก้ต่างกับอำมาตย์ว่า

“ก็ยังนั้นแหละขอรับ”

เมียตาเที่ยงยิ้มแหย ๆ ที่พูดผิดหรือพูดถูกอีกแล้วก็ไม่รู้ได้  เมื่อได้รับคำตอบว่าเต็มใจมา  ไม่ได้มีผู้ใดหักหาญน้ำใจ  อำมาตย์ก็ให้มหาดเล็กจัดที่ทางในท้องพระโรง   ในท้องพระโรงมีม่านกั้นระหว่างพระที่นั่งของพระราชาและหญิงสาวทั้งสามคน  ทั้งนี้เป็นพระประสงค์พระราชา  อำมาตย์จึงได้แจ้งแก่หญิงสาวทั้งสามคนว่า 

“ด้วยพระราชามีพระประสงค์จะให้เกิดความเป็นธรรม  ไม่ลำเอียงใด ๆจึงทรงให้ปิดม่านกั้นไว้  เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเคลือบแคลงใจได้ว่า  พระราชาทรงเลือกมเหสีที่รูปโฉม  แต่ทรงพิจารณาที่สิตปัญญาเป็นที่ตั้ง 

                รูปโฉมแต่งเติมได้ให้งดงาม             จิตใจและน้ำคำมิแต่งได้

                ฟังแต่เพียงสำเนียงก็จำแนกใน        ไม่ต้องดูรูปโฉมเป็นเช่นไรย่อมรู้ดี

จากนั้นอำมาตย์จึงจัดที่นั่งให้หญิงสาวทั้งสาม  นั่งแยกกัน ห่างกันพอประมาณ  ทูลเชิญพระราชาเสด็จยังท้องพระโรง  เมื่ออำมาตย์ทูลให้พระราชาทรงทราบว่าทุกอย่างพร้อมเพรียงแล้ว  พระราชาจึงตรัสขึ้นว่า

“เราคิดว่าหมดพระนครแล้วเสียอีก เทวะนครมีหญิงงามมากมายเก่งการบ้านการเรือนมากมายนัก  กิริยามารยาทก็เรียบร้อย  เสียแต่หาหญิงสาวที่ฉลาดเฉลียวได้ยาก  เราคงต้องส่งเสริมการเรียนให้กับชาย หญิงของเทวะนครให้มากขึ้น”

“ขอเดชะ  หญิงนั้นมีหน้าที่ดูแลสามี ลูก และบ้านช่องข้าทาสบริวาร  ก็ต้องเก่งแต่งานบ้านงานเรือน  ชายเป็นหัวหน้าครอบครัว  ย่อมต้องฉลาดและเก่งกว่า  สามีว่าสิ่งใด  ผู้เป็นเมียก็ต้องว่าตามกันพระเจ้าข้า”

อำมาตย์แสดงความคิดเห็น  พระราชาหันมามองหน้าอำมาตย์แล้วหัวเราะ
เบา ๆ แล้วตรัสว่า

“เราไม่เถียงเรื่องว่าตามกัน  แต่เราว่าหญิงนั้นก็เก่งและฉลาดได้  บางครั้งอาจเก่งเท่าหรือเก่งกว่าชาย  ดูอย่างเสด็จแม่ของเราซิ  ท่านช่วยดูแลปกครองเทวะนครในฐานะผู้สำเร็จราชการ ด้วยสติปัญญาและแผนการที่แยบยล 
จนเทวะนครไม่ตกเป็นเมืองขึ้นใคร  ถ้าข้าต้องมีมเหสีสักคนก็คงต้องหาให้ได้อย่างเสด็จแม่ของข้า ”

“พระองค์ตรัสถูกต้องแล้วพะยะค่ะ”

อำมาตย์โค้งคำนับยอมรับในพระกระแสรับสั่งของพระองค์

“ทูลเชิญเสด็จเถิดพะยะค่ะ”

อำมาตย์ทูลเชิญพระราชาเสด็จสู่ท้องพระโรง  เมื่อพระราชาเสด็จเข้าพระที่นั่ง  อำมาตย์เสนาทั้งหลายต่างก็ถวายบังคม  อำมาตย์ทูลกล่าวรายงานว่ามีผู้ใดมาเข้าเฝ้าบ้าง  พระราชาจึงตรัสว่า

“ท่านทั้งหลายในที่นี้จะเป็นประจักษ์พยาน  เราจะเริ่มคำถาม  โดยเราจะให้แต่ละคนสามารถเลือกตอบได้ว่าจะตอบทีหลังหรือตอบก่อน  เราจะยังไม่ตัดสินว่าใครตอบถูก ใครตอบผิด  จนกว่าทุกคนจะตอบคำถามครบถ้วนทุกข้อ  เราจึงจะเฉลยทุกข้อความว่าใครตอบถูก ใครตอบผิด เข้าใจกันแล้วหรือไม่ ” 

พระราชาตรัสให้หญิงสาวทั้ง 3  คนได้รับรู้กติกาการตอบคำถาม  ทั้ง  3  คนรับคำว่าเข้าใจ  พระราชาจึงเริ่มคำถาม

“คำถามข้อแรก   เพื่อนแท้อยู่แค่เราลาจาก เพื่อนแท้ยามพลัดพรากไว้ฝากฝัง

                      เพื่อแท้มั่นคงไม่ปิดบัง     เพื่อแท้สามอย่างคือผู้ใด”

เมื่อสิ้นคำถาม  ลูกสาวของตาเที่ยงชื่อ ดอกไม้ก็รีบทูลขอตอบทันที

“หม่อมฉันขอตอบเพค่ะ  เพื่อแท้อยู่แค่ลาจาก  ก็คือ  เพื่อนที่เคยเล่นด้วยกัน  เมื่อเติบโตแล้วก็แยกจากกันไปมีครอบครัวเพคะ  เพื่อนแท้ยามพลัดพรากไว้ฝากฝัง  ก็คือ  หมอที่รักษาคนเวลาเจ็บป่วย  เพื่อนแท้มั่นคงไม่ปิดบัง  ก็คือ  พ่อและแม่เพค่ะ”

ตาเที่ยงและเมียนั่งอมยิ้มที่ลูกสาวตอบ  ดอกรักลูกสาวคนเล็ก ก็ขอตอบคำถามเป็นรายถัดไป

“หม่อมฉันขอตอบเพคะ  เพื่อแท้อยู่แค่ลาจาก  ก็คือ  ญาติพี่น้องที่อยู่แดนไกล  เมื่อมาเยี่ยมกันแล้วก็ลาจากกันไป  เพื่อนแท้ยามพลัดพรากไว้ฝากฝัง  ก็คือ  คนฝังศพหรือคนเผาศพให้กับคนตายเพค่ะ  คนเราเมื่อตายก็ต้องอาศัยสัปเหร่อนำร่างไปฝังหรือไปเผาเพค่ะ  ส่วนเพื่อนแท้มั่นคงไม่ปิดบัง  ก็คือ  ตัวเราเองเพค่ะ ความลับที่ที่มีไม่จำเป็นต้องบอกใคร  รู้คนเดียวเพคะ”

“เจ้าจะตอบคำถามหรือยัง”

พระราชาถามลูกสาวของตาธรรม  ที่ยังนั่งคิดอย่างเงียบ ๆ

“หรือจะให้เราผ่านคำถามนี้ไป”

“หม่อนฉันขอตอบเพค่ะ  เพื่อแท้อยู่แค่เราลาจาก  ก็คือ  ทรัพย์สมบัติเพค่ะ  ยามเรามีชีวิตอยู่เราก็หยิบมาใช้สอยได้  เรียกหามันได้ง่ายหากมีความขยันทำมาหากิน  แต่พอเราตายไป  เราก็ใช้มันไม่ได้  ทรัพย์สมบัติจึงเป็นเพื่อน  แท้แค่เราจากโลกนี้ไปเท่านั้น  เพื่อนแท้ยามพลัดพรากไว้ฝากฝัง  ก็คือ  พ่อ  แม่  ลูก  เมีย   พวกเขาคือ  เพื่อนที่ร่วมทุกข์  ร่วมสุข  เป็นกำลังใจ  ยามมีชีวิตอยู่ก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน  ยามตายจากกันก็ทำพิธีฝัง พิธีเผาให้เพคะ  เพื่อนแท้มั่นคงไม่ปิดบัง  ก็คือ  บาปและบุญเพคะ  เราอาจปิดบังเรื่องอื่นใดในชีวิตได้  แต่บาปและบุญที่เราทำไว้  จะตอบสนองเราทุกภพทุกชาติไม่อาจปิดบังได้  ว่าเราได้ทำสิ่งดีสิ่งเลวเพียงใด  มันก็จะตามเป็นเพื่อนแท้เราไปตลอดเวลาเพค่ะ”(ต่อคำถามข้อที่ 2 ในครั้งหน้านะคะ)

คำสำคัญ (Tags): #นิทาน?
หมายเลขบันทึก: 487885เขียนเมื่อ 13 พฤษภาคม 2012 00:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน 2013 10:19 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

จะรออ่านค่ะ  ว่า พระองค์จะเลือกใครเป็นชายา

ชอบประโยคนี้ครับ..

        รูปโฉมแต่งเติมได้ให้งดงาม     จิตใจและน้ำคำมิแต่งได้

         ฟังแต่เพียงสำเนียงก็จำแนกใน   ไม่ต้องดูรูปโฉมเป็นเช่นไรย่อมรู้ดี

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท