ในประเด็นดังกล่าวนี้พระเดชพระคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์
ปราชญ์ด้านประวัติศาสตร์เมืองพะเยา
ได้ให้ข้อคิดไว้ในหนังสือความเป็นมาในอดีตของเมืองพะเยา
และประวัติพระยายุทธิศเสถียร เมืองสองแควว่าพญาทั้ง ๓
ได้ประทับนั่งเอาพระปฤษฎางค์ (หลัง) พิงกัน
เพื่อดื่มเลือดสาบานกันริมแม่น้ำสายตาหรือแม่น้ำอิง ณ
บริเวณวัดร่องขุย
เมื่อเสร็จพิธีปฏิญาณแล้ว
ชาวบ้านชาวเมืองดีใจที่ไม่ต้องเกิดศึกสงครามกันระหว่างอาณาจักรภูกามยาวและสุโขทัย
ก็แห่พญาทั้งสาม ขึ้นจากน้ำ ท่าน้ำนั้นจึงเรียกว่า ท่าแห่
พญาร่วงและพญาเม็งรายก็แยกย้ายกันกลับเมืองโดยสวัสดี
ตำนานเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมา
มีทั้งข้อเท็จจริงและเรื่องเล่าผสมกันเพื่อให้ความกระจ่างแจ้ง
และมีความมันในการเล่ามากยิ่งขึ้น ขอยกประเด็นมาวิเคราะห์
ซึ่งทำให้เราได้ข้อคิดว่าการเล่าเพื่อผูกกันเป็นเรื่องเป็นราว
เพื่อให้ชื่อบ้านนามเมืองต่าง ๆ คล้องจองกัน
นับว่าเป็นการหาข้อสรุปของนักเล่าเรื่องในอดีตเพื่อตอบโจทย์
ที่เป็นปัญหาสงสัยของคนในสมัยโบราณ
หรืออีกประเด็นหนึ่ง
เป็นข้อมูลเล่าขานมาจากฝ่ายเชียงใหม่แต่งขึ้นเพื่อเสริมบารมีพญาเม็งรายที่สามารถแผ่อิทธิพลจนอาณาจักรสุโขทัยและพะเยายอมเชื่อฟังปฏิบัติตามหรืออาจเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์ที่รุ่นหลาน
ๆ ที่มีชื่อพ้องกับปู่เกิดเป็นชู้กันจริง ๆ
หรือว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
ซึ่งขอให้ลองช่วยกันวินิจฉัยต่อไป
ดังศาตราจารย์ธวัช ปุนโณทก
ได้เขียนไว้ในนิทานพื้นบ้าน(ทั่วไป)ว่า
“.....ตอนที่กล่าวว่าพระยาร่วงเป็นชู้กับพระชายาของพระยางำเมืองน่าจะเป็นเรื่องเล่าแทรกเข้ามาเป็นนิทานอธิบายเหตุ
เพราะว่าเน้นเรื่องการตั้งชื่อบ้านนามเมือง เช่น แม่ร่องช้าง
หนองเอี้ยง บ้านตุ่น ห้วยแม่ตุ่นและแม่อิง
นักเล่านิทานนำชื่อบุคคลในประวัติศาสตร์มาผูกเป็นเรื่องอธิบายชื่อบ้านนามเมือง
และได้เล่าขานกันมาจนถึงสมัยบันทึกพงศาวดารเรื่องดังกล่าวจึงแทรกอยู่ด้วย....”[1]
และในเรื่องดังกล่าวนี้ สุจิตต์ วงษ์เทศ ได้ให้ข้อสังเกตไว้เหมือนกัน
ว่า
“....เหตุการณ์พระยาร่วงเป็นชู้กับนางเทวีพระยางำเมืองนี้ศาสตราจารย์ดร.ประเสริฐ
ณ นคร
เข้าใจว่าเขียนขึ้นเพื่อเสริมบารมีพญามังรายโดยถือว่าเป็นชู้เป็นโลกวิสัยแล้วอธิบายต่อไปอีกว่าความเป็นจริงแล้ว
พระยาร่วงมิได้ทรงกระทำความผิดดังกล่าวเลยก็เป็นได้
เพราะถ้าจะอ่านเรื่องอย่างเดียวกันนี้จากพงศาวดารน่าจะได้ความว่าพญางำเมืองทรงหยอกพระนางฮั้วสิมว่าแกงใส่น้ำมากเกินไป
พระนางฮั้วสิม ก็โกรธอย่างข้อความเดียวกับในตำนานเชียงใหม่
แต่พระนางฮั้วสิมไปได้เสียกับเจ้าเมืองปราดซึ่งเป็นโอรสกษัตริย์น่าน
และต่อมาได้ครองเมืองนานชื่อพญาผานองซึ่งเป็นปู่ของพญาผากอง
(ในจารึกหลักที่ ๔๕
ปู่หลานสบถกันเรียกพญาผานองว่าผากองและหลานก็ชื่อว่าผากองด้วยเช่นกัน
(ซึ่ง)
น่านและสุโขทัยสมัยนั้นนิยมนำชื่อปู่มาเป็นชื่อหลานเพื่อเป็นสิริมงคลเช่นพระเจ้าเลอไทย
และพระเจ้าลิไทยมีหลานชื่อว่าพระเจ้าไสยลือไทย)
จึงทำให้เห็นว่าผู้เป็นชู้กับนางเทวีเป็นกษัตริย์น่านมิใช่พระยาร่วงอนึ่งน่าสังเกตว่าจารึกหลักที่
๔๕
กล่าวถึงบรรพบุรุษของพระเจ้าไสยลือไทยของสุโขทัยมีชื่อพ่อขุนงำเมืองอยู่ในชั้นพ่อหรืออาด้วยตามธรรมเนียมที่นำชื่อบรรพบุรุษมาตั้งเป็นชื่อหลานเหลนนั้น
ทำให้น่าเชื่อว่ากษัตริย์ราชวงศ์พระยาร่วงองค์ใดองค์หนึ่งน่าจะได้แต่งงานกับพระธิดาของพระยางำเมืองจึงได้นำเอาชื่อบรรพบุรุษพะเยามาตั้งเป็นชื่อหลานหรือเหลนในราชวงศ์พระยาร่วงดูจะสมเหตุสมผลมากกว่าเรื่องพระร่วงเป็นชู้กับนางเทวีของพระยางำเมือง....”[2]
ชื่อบ้านในแต่ละท้องถิ่นนั้น มีที่น่าสนใจอยู่มาก
เพราะแต่ละแห่งก็ตั้งกันตามความเด่นของพื้นที่หรือภูมิศาสตร์ของท้องถิ่น
สำหรับพะเยานั้นที่มีมาในเรื่องเล่าจนเป็นตำนานก็คือช่วงที่พญางำเมืองมีเรื่องกับพระร่วงจนมีผู้คนโยงเป็นนิทานพื้นบ้านเอาไว้
โดยจะสรุปได้ดังนี้
-
น้ำแม่ร่องช้าง
คือขบวนที่พระยาร่วงเสด็จมาสักการะแม่น้ำโขงทุกปี
จนร่องน้ำลึกสามารถเป็นทางน้ำไหลผ่านได้ในปัจจุบันเป็นแม่น้ำสายหลักของเขตอำเภอดอกคำใต้
สามารถศึกษารายละเอียดได้จากตำนานช้างปู่ก่ำงาเขียวและน้ำแม่ร่องช้าง
-
หนองเอี้ยง
คือสถานที่ที่พระยาร่วงแปลงกายเป็นนกเอี้ยงแล้วบินหมดแรงมาตก ณ
หนองน้ำแห่งนี้ปัจจุบัน คือ ที่ตั้ง วัดศรีโคมคำ
อำเภอเมืองพะเยา
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ให้ทัศนะว่า
คติเรื่องหนองเอี้ยงมีที่มาเป็นนิทานอยู่ ๒ เรื่องคือ
เรื่องพญาแปลงเป็นนกเอี้ยง กับอีกเรื่องหนึ่งคือ
ตอนที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญานกเอี้ยง
แล้วถูกเหวี่ยงจิกตีเป็นอาหารตายในหนองน้ำนี้
ซึ่งสามารถศึกษารายละเอียดได้จากตำนานกว๊านพะเยา
-
หนองวัวแดง คือตอนที่พระยาร่วงแปลงกายเป็นวัวแดง
โดดหนีไปติดหล่ม จึงตั้งชื่อหนองน้ำนั้นว่า
หนองวัวแดง ปัจจุบันอยู่ในเขตตำบลแม่ใส
อำเภอเมืองพะเยา
-
บ้านร่องไฮ คือตอนที่พระยาร่วงแปลงกายเป็นตัวไรตัวเล็ก ๆ
เพื่อหนีการจับกุมซึ่งชาวบ้านเรียกว่าไฮ
ปัจจุบันคือบ้านร่องไฮ อยู่ในเขตตำบลแม่ใส อำเภอเมืองพะเยา
(ผู้เขียนเพิ่มเข้ามาเพื่อเพิ่มอรรถรส)
-
บ้านตุ่น
คือตอนที่พระร่วงแปลงกายเป็นตุ่นหนีไปปัจจุบันคือตำบลตุ่น
อำเภอเมืองพะเยา
-
ห้วยแม่ตุ่น
คือร่องรอยที่ตุ่นหนีไปในการตามล่าของพญางำเมือง โดยแบ่งเป็น ๒
ทัศนะ คือ ศาสตราจารย์ธวัช ปุณโณทก
บอกไว้ในหนังสือนิทานพื้นบ้าน(ทั่วไป)ว่าเป็นรูที่ตุ่นขุดหนีไปคือห้วยแม่ตุ่น
ส่วนทัศนะของ สุจิตต์ วงษ์เทศ
ในหนังสือประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมเมืองพะเยาว่า
พญางำเมืองขุดหาตุ่นทำให้เป็นร่องน้ำ จึงเรียกว่า
ห้วยแม่ตุ่น
-
บ้านสาง คือ ตอนที่พระยาร่วงแปลงกายเป็นเสือ
แต่ภาษาพื้นเมืองเรียกว่า “สาง” หรือใช้คู่กันว่า
“เสือสาง” ปัจจุบันแบ่งออกเป็นบ้านสางเหนือ
กับบ้านสางใต้ อยู่ในเขตตำบลสาง อำเภอเมืองพะเยา
(ผู้เขียนเพิ่มเข้ามาเพื่อเพิ่มอรรถรส เท่านั้น)
-
บ้านต๋อม คือ
ตอนที่พระยาร่วงแปลงกายเป็นเสือโดดหนีพระยางำเมืองลงน้ำกว๊าน
จนเกิดเสียงดัง ต๋อม ปัจจุบัน คือตำบลต๋อม
อำเภอเมืองพะเยา (ผู้เขียนเพิ่มเข้ามาเพื่อเพิ่มอรรถรส
เท่านั้น)
-
บ้านต๊ำ คือ เครื่องมือดักสัตว์ชนิดหนึ่ง
ที่พญาร่วงไปติดอยู่แล้วถูกจับได้ ปัจจุบันคือ ตำบลต๊ำ
อำเภอเมืองพะเยา (ผู้เขียนเพิ่มเข้ามาเพื่อเพิ่มอรรถรส เท่านั้น)
-
ไม้ตาหีบพระร่วง คือไม้ตาหีบ หรือ
ตับปิ้งปลาของชาวบ้าน
มีปรากฎตอนที่มีคนนำน้ำและอาหารตามคำสั่งเพื่อถวายพญาร่วง
แต่วันนั้นไม่มีอะไรถวายจึงนำเอาไม้ตาหีบถวายจึงทำให้พระยาร่วงน้อยใจ
และตั้งอธิษฐานว่าถ้าตนเองรอดชีวิตไปก็ขอให้ไม้ตาหีบมีชีวิตแล้วงอกเงย
มีกิ่งใบออกดอกออกผล
-
บ้านเกณฑ์ คือเมื่อพญาร่วงถูกจับได้ แลพญาเม็งราย
ให้มีการปรองดองกันจึงให้มีการรักใคร่สามัคคีกันเหมือนเดิม ณ
บ้านแห่งนี้ หรืออีกอย่างหนึ่ง คือ
พญาเม็งรายสั่งให้พญาทั้งสองให้มารวมกันอยู่ ณ บ้านแห่งนี้
-
แม่น้ำอิง คือแม่น้ำที่กษัตริย์ทั้ง ๓
นั่งสาบานกรีดเลือดอิงกันตามแบบเพื่อนที่ดีต่อกัน
ซึ่งตอนนี้บ้างก็ว่า อิงกันแค่ ๒ เท่านั้น คือ พญาร่วง
กับพญางำเมือง
เดิมแม่น้ำแห่งนี้ชื่อว่า “แม่น้ำสายตา”
ในตำนานเดิมอิงกันตอนที่ผิดใจกัน
แต่ตำนานที่กล่าวมานี้มีการอิงกันสองครั้ง
คือก่อนเกิดเรื่องมีการนั่งเอาหลังพิงกันทั้ง ๓ พระองค์
ส่วนหลังจากมีเรื่องมีการอิงกัน ๒
พระองค์โดยสถานที่หรือบริเวณที่มีการนั่งเอาหลังอิงกันสาบานดื่มเลือดกันหลวงพ่อพระอุบาลีคุณูปมาจารย์
กล่าวว่า อยู่บริเวณวัดร่องสบขุยนั้นเอง
-
บ้านกว้าน คือสถานที่ที่พระยาเม็งราย
ตั้งโรงศาลขึ้นมาเพื่อพิจารณาคดีความพญาทั้งสอง
ซึ่งภาษาท้องถิ่นว่า ตั้งกว้านขึ้น ปัจจุบัน คือบ้านกว้าน
อยู่ในเขตตำบลดงเจน กิ่งอำเภอภูกามยาว จังหวัดพะเยา
-
บ้านป้อ คือสถานที่ที่ประชาชน
เป็นจำนวนมากมายมายืนกระจุกตัวกันเป็นจำนวนมาก
ภาษาไทยล้านนาเรียกว่า “ป้อ” เพื่อรอฟังผลของคดีความในครั้งนั้น
-
ท่าแห่ คือ เมื่อ ๓ พระสหายเข้าใจกันดีแล้ว
ชาวเมืองดีใจที่พญาทั้งสองพระองค์ตกลงกันได้
แล้วจึงได้จัดให้มีขบวนแห่เข้าเมืองเพื่อเฉลิมฉลองกันต่อไป
ในเรื่องดังกล่าวนี้มีผู้ให้ข้อคิดว่า
สระน้ำหน้าวัดศรีโคมคำเมื่อก่อนนี้ยาวมาจนถึงประตูหน้าวัด
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ได้ถมครึ่งหนึ่งเหลือไว้ครึ่งหนึ่ง
โดยพระเดชพระคุณหลวงปู่ให้เหตุผลว่า ครูบาแก้ว –
ครูบาปัญญา ก่อนมรณภาพท่านได้สั่งเอาไว้ว่า
ถ้าจะถมสระน้ำแห่งนี้ก็ขอให้ถมครึ่งหนึ่ง
มีคนตั้งข้อสังเกตว่า
ทำไมท่านครูบาทั้งสองจึงสั่งไว้ให้ถมเพียงครึ่งเดียว
ท่านอาจจะได้ยินมาว่า
“พญาทั้งสองกรีดเลือดสาบานกันต่อหน้าที่พระเจ้าตนหลวงแล้วมาล้างเลือด
ณ สระน้ำแห่งนี้” ก็ได้ใครจะไปรู้
(ประเด็นข้อสงสัยที่แทรกเข้ามาภายหลัง)
แต่ถ้าเทียบ พ.ศ. ระหว่างการสร้างพระเจ้าตนหลวง
กับช่วงที่เป็นยุคทองของพญางำเมืองนั้นคนละเรื่องกันเลย
คือห่างกันตั้ง ๒๕๓ ปี กล่าวคือพญางำเมืองประสูติ
พ.ศ. ๑๗๘๑[3]
แต่ประวัติศาสตร์ระบุว่าการสร้างพระเจ้าตนหลวงเริ่มในปี พ.ศ.
๒๐๓๔
[1] ธวัช ปุณโณทก : นิทานพื้นบ้าน หน้า ๖๑ :
๒๕๒๑
[2] สุจิตต์ วงษ์เทศ :
ประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมเมืองพะเยา หน้า ๓๙ : ๒๕๓๘
[3] พระธรรมวิมลโมลี :
ความเป็นมาในอดีตของเมืองพะเยาและประวัติพะเยา
และพระยายุทธิศเสถียร เมืองสองแคว หน้า ๖