บัดนี้ (มีค. ๒๕๕๕) ได้เกิดการแตกแยกของคนไทยออกเป็นฝ่ายเสื้อเหลืองและฝ่ายเสื้อแดง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาแต่ความคิดเห็นต่างในประเด็นทางการเมือง ผนวกการชุมนุมของมวลชนของทั้งสองฝ่ายที่มีความรุนแรงผสม โดยเฉพาะความรุนแรงที่มาจากทางฝ่ายเสื้อแดง ส่วนฝ่ายเสื้อเหลืองนั้นมักเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำการรุนแรง (โดย “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย”) ดังนั้น ข้าพเจ้าขอเสนอข้อคิดในการปรองดองดังนี้
1) พึงเข้าใจหลักการสำคัญขั้นพื้นฐานเสียก่อนว่า การนี้เป็นการปรองดองความแตกแยกระหว่างพวกเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง อันเป็นผลมาจากการชุมนุมของทั้งสองฝ่าย ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างมีข้อเรียกร้องของตน การไม่ได้รับการสนองตอบตามข้อเรียกร้องทำให้การชุมนุมยืดเยื้อ จนนำสู่ความรุนแรง การก่อคดีอาญาต่างๆอันเนื่องจากอารมณ์ของการชุมนุม และก่อความแตกแยกของสังคมในที่สุด
2) การนิรโทษกรรมในคดีความต่างๆเพื่อนำสู่การปรองดองคงเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ว่าจะกำหนดขอบเขตการนิรโทษกรรมเพียงใดเท่านั้นเอง สามัญสำนึกขั้นพื้นฐานก็คือ ควรนิรโทษกรรมเฉพาะคดีความที่ติดตัวแกนนำของทั้งสองฝ่ายซึ่งมีความเชื่อมโยงกับการชุมนุม ส่วนคดีเผาบ้านเมือง เผาสถานที่ราชการของผู้ร่วมชุมนุมนั้น อาจอนุโลมได้ว่าไม่ได้ตริตรองมาก่อน แต่กระทำไปเพราะอารมณ์โทสะที่ถูกกระตุ้นจากการปราศรัยบนเวทีการชุมนุม ดังนั้นอาจมีเหตุอันควรให้นิรโทษกรรมก็เป็นได้
3) ข้อเรียกร้องจากการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ไม่เคยเรียกร้องให้นิรโทษกรรมคดีความของ ดร.ทักษิณ แต่ประการใด แสดงว่าคดีความของดร. ทักษิณ (ที่ได้กระทำมาก่อนการแตกแยกของทั้งสองฝ่าย) ไม่เกี่ยวข้องกับการแตกแยกและการปรองดองในคราวนี้แต่ประการใด ดังนั้นการนิรโทษกรรมคดีความของ ดร. ทักษิณ จึงเป็นอันตกไป (ดูข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดงข้างล่าง ....ข่าวตัดจาก นสพ. ไทยโพสต์)
ข้อเรียกร้อง 4 ข้อตามที่นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช.ได้อ่านแถลงการณ์ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลกลางดึกวันเสาร์ต่อเนื่องก่อนเช้าวันอาทิตย์ ซึ่งประกอบด้วย 1.ดำเนินการกับพันธมิตรทางกฎหมายภายใน 15 วัน 2.ปลดนายกษิต ภิรมย์ ออกจากการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศภายใน 15 วัน 3.นำรัฐธรรมนูญปี 40 กลับมาใช้ และ 4.ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญให้ยุบสภาคืนอำนาจแก่ประชาชนทันที
ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม
1) การจะปรองดองกันได้ต้องมีฝ่ายที่สาม ฝ่ายที่เป็นกลางทำหน้าที่ร่างข้อกำหนดในการปรองดอง โดยรับฟังข้อมูลความเห็นจากคู่กรณีที่ขัดแย้งกัน มิใช่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นคู่กรณีเสียเองเป็นผู้กำหนดดังเช่นที่กำลังทำกันอยู่ในวันนี้
2) ฝ่ายที่เป็นกลางนี้อาจคือ คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาที่เลือกกันเองให้เหลือ 15 คน
3) เมื่อผู้เป็นกลางได้ยกร่างข้อกำหนดในการปรองดองแล้ว ให้นำเสนอต่อประชาชนทั้งประเทศเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อให้ประชาพิจารณ์ผ่านสื่อสารมวลชน ทางจดหมายส่งตรง รวมทั้งมีช่องทางให้พิจารณ์ทางอีเมล์ และเว็บบอร์ด
4) ผู้เป็นกลางพิจารณาโดยสำนึกแห่งความถูกต้องของผู้เป็นกลางเองว่าปรับ (หรือไม่ปรับ) ร่าง อีกครั้ง ตามเหตุผลที่ได้รับจากการวิจารณ์
5) นำเสนอร่างที่ปรับ (หรือไม่ปรับนี้) ต่อรัฐสภา เพื่ออภิปราย
6) ผู้เป็นกลางพิจารณาโดยสำนึกแห่งความถูกต้องของผู้เป็นกลางเองว่าปรับ (หรือไม่ปรับ) ร่าง อีกครั้ง ตามเหตุผลที่ได้รับจากการอภิปรายของรัฐสภา
7) การปรับแก้ครั้งสุดท้ายตามข้อ ๖ นี้ ของ คกก. ชุดนี้ ถือเป็นที่สิ้นสุด ให้นำเสนอเป็นพรบ. ได้เลย โดยไม่ต้องผ่านการลงมติเห็นชอบของรัฐสภา
...คนถางทาง (๒๘ มีนาคม ๒๕๕๕)
ไม่มีความเห็น