มีคำกล่าวว่า “ในตัวเรามีทั้งพุทธะและซาตาน”
ในภาวะปกติเราก็พยายามฝึกฝนบ่มเพาะความเป็นพุทธะให้งอกงาม
พุทธะที่หมายถึงการมีสติตื่นรู้อยู่เสมอ
ดูแลตนเองให้มีความเรียบร้อยในกายและวาจา
รู้เท่าทันกับความคิด การกระทำ และคำพูดของตนเอง
แต่เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างมาปลุกเร้า
แม้แต่กับคนที่เรารักอย่างสุดซึ้ง
แทนที่เราจะปลุกเอาความเป็นพุทธะให้เบิกบาน ยิ้มแย้มต่อสถานการณ์นั้นอย่างรู้สึกตัว
แต่เรากลับไปปลุกตัวซาตานที่มีอยู่ให้ขึ้นมารับใช้อัตตาที่มันแฝงอยู่ในตัวเรา
ซาตานอันหมายถึงความโกรธ ความโลภ ความหลง
โกรธที่มาจากความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาในตัวตน
ซาตานที่ตีค่าตัวเองว่าดี เด่น มีอำนาจที่เหนือใคร
เมื่อซาตานโผล่ขึ้นความพินาศบรรลัยก็บังเกิด
ด้วยคำพูดและการกระทำที่โง่เขลาและป่าเถื่อนอย่างที่สุด
ทำร้ายได้แม้แต่คนที่เรารักเป็นที่สุด
ทำร้ายคนรอบข้างอย่างย่อยยับป่นปี้
ที่สำคัญมันทำร้ายแม้กระทั่งตัวเราเอง
กว่าที่จะเรียกความเป็นพุทธะให้มารับรู้ต่อกรกับซาตาน
ซาตานก็ได้ทำลายความรัก มิตรภาพ และความสัมพันธ์กับคนที่เรารักและคนข้างเคียง
ให้สูญสลายไปเพียงชั่วพริบตา
แล้วซาตานก็จากไป พร้อมกับเสียงหัวเราะ และความสะใจ
เหลือไว้เพียงคราบน้ำตาความเสียใจ และบาดแผลที่อยู่ในใจเราและคนที่เรารัก
จนยากที่จะเยียวยา
แต่ซาตานก็ไม่ได้หนีไปไหนไกล
มันแอบซ่อนเร้นอยู่ในตัวตนของเรา
พร้อมที่จะกลับมาอีกทุกเมื่อ ถ้าเราเผลอ
ด้วยเหตุนี้กระมังที่พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เราปลุกความเป็นพุทธะให้ตื่นอยู่เสมอ
เพื่อที่จะรับมือกับซาตานที่มีอยู่ในตัวเรา
ก่อนที่มันจะมาทำร้ายเราและคนที่เรารัก
ก่อนที่เราจะไม่เหลืออะไร แม้แต่ความเป็นคน
ไม่มีความเห็น