จิตรกรรมฝาผนังการโล้ชิงช้าที่วัด มหาเจดีย์ บ้านกรูด จใประจวบคีรีขันธ์
รัตนโกสินทร์ในแรกเริ่ม (พ.ศ. ๒๓๒๕ เป็นต้นมา) เป็นช่วงเวลาที่กำลังสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นใหม่ ประกอบกับยังอยู่ในภาวะสงครามที่ยังคงติดพันมาจากสมัยกรุงธนบุรี ดังนั้นความเชื่อในลัทธิและพิธีกรรมแบบพราหมณ์ยังคงมีความสำคัญ ต้องสร้างความมั่นคงให้แก่พระราชอาณาจักร พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเสาชิงช้าเพื่อเป็นศูนย์กลางของพระนคร ที่สร้างขึ้นใหม่ และสร้างขวัญและกำลังใจแก่ชาวพระนคร
ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์นี้กล่าวได้ว่าครั้งใดที่มีงานพระราชพิธีตรียัมปวาย - ตรีปวาย บริเวณเสาชิงช้า ประชาชนชาวพระนครต่างตั้งตารอคอย เนื่องจากงานพระราชพิธีและเป็นงานเทศกาลที่สนุกสนาน และชวนให้ตื่นตาตื่นใจต่อขบวนแห่พระยายืนชิงช้า ผู้คนชาวพระนครต่างมาชุมนุมเพื่อดูกระบวนแห่หนาแน่น ตลอดจนเฝ้าชมการโล้ชิงช้าและรำเสนง อาจมองภาพความสนุกสนานครึกครื้นได้จากนิราศรำพึงของพระอยู่ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดสุทัศนฯ ซึ่งแต่งขึ้นในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ ดังนี้
“แล้วคิดไปถึงเดือนยี่พิธีไสย มีงานใหญ่แห่ชิงช้าเมื่อหน้าหนาว
พวกหญิงชายมาดูกันกรูกราว ทั้งเจ๊กลาวแขกฝรั่งทั้งญวนมอญ
เราติดพาพวกเหล่าเมียสาวสวย ทั้งรูปรวยเดินหลามตามสลอน
ไปดูแห่ตามระหว่างหนทางจร กรรมกรตามหลังออกพรั่งพรู
เราจะเดินออกหน้าวางท่าใหญ่ มิให้ใครรอดเลี้ยวเกี้ยวแม่หนู
คอยระวังดูเหล่าพวกเจ้าชู้ เกี้ยวแม่กูเตะให้คว่ำขะมำดิน
พาเมียดูหยุดชิงช้าหน้าตลาด ใครไม่อาจเข้ามาขวางกลัวคางบิ่น
แสนสบายมิได้มีราคิน เลิกงานลินมาบ้านเบิกบานใจ” (ดูใน ส.พลายน้อย, ๒๕๑๘ : ๑๗๐)
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงริเริ่มแทรกพิธีกรรมทางพุทธศาสนาเข้าไปในพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์ โดยเฉพาะในพระราชพิธี ๑๒ เดือน หากเดิมพระราชพิธีใดเป็นแต่พิธีพราหมณ์ ทรงให้แทรกพิธีกรรมทางศาสนาพุทธเข้าไปด้วย เช่น ให้มีพระสงฆ์สวดเจริญพระพุทธมนต์เพิ่มเติมเข้าไปในการพิธีนั้นๆ นอกจากนี้ยังได้มีการเปลี่ยนแปลงระเบียบปฏิบัติบางอย่างให้เหมาะสมกับการปฏิบัติด้วย (สมอตอมรพันธุ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ, กรมพระ, ๒๕๐๘ : ๑๕๘ – ๑๖๕)
ความเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกประการหนึ่งที่เกิดกับพระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวายคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผลัดเปลี่ยนพระยายืนชิงช้าในแต่ละปี ให้หมุนเวียนกันในกลุ่มขุนนางชั้นพระยาพานทอง ซึ่งแต่เดิมนั้นเจ้าพระยาพลเทพ เสนาบดีจตุสดมภ์ กรมนา เป็นผู้รับหน้าที่พระยายืนชิงช้าแต่เพียงผู้เดียว ต้องสิ้นทรัพย์สินเงินทองในการจัดขบวนแห่พระยายืนชิงช้าปีหนึ่งๆ เป็นจำนวนมาก ทั้งค่าเสื้อผ้าเครื่องประกอบในขบวนแห่ ตลอดจนเบี้ยเลี้ยงแก่ผู้เข้าร่วมกระบวนแห่ ประกอบกับต้องการให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ได้มีโอกาสแห่แหนเพื่อเป็นเกียรติยศ ที่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่จะได้จัดกระบวนแห่แหนเช่นนั้นได้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้รับพระราชทานพานทองเป็นพระยายืนชิงช้า โดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันในแต่ละปี
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระราชพิธีตรียัมปวาย - ตรีปวายเกือบถูกยกเลิกไปเป็นการถาวรกล่าวคือ บริเวณเสาชิงช้าซึ่งแต่เดิมเสาชิงช้านั้นตั้งอยู่หน้าบริเวณโบสถ์พราหมณ์ (บริเวณลานคนเมือง ปัจจุบัน) ได้กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ขึ้น อีกทั้งเป็นตลอดของชาวพระนคร ที่เรียกว่า “ตลาดเสาชิงช้า” และเป็นสวนดอกไม้นานาพันธุ์สำหรับพระนคร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีพระราชดำริให้ขยายถนนให้กว้างขวางขึ้น แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า “ถนนบำรุงเมือง” สืบมาถึงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ปีพุทธศักราช ๒๔๔๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขยายบำรุงเมืองให้กว้างขวางมากขึ้นไปอีก พร้อมทั้งทรงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อตึกและบ้านเรือนที่อยู่ริมถนนบำรุงเมืองแล้วสร้างขึ้นใหม่ตามแบบที่กำหนด ซึ่งถ่ายแบบมาจากเมืองสิงคโปร์ (สำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร, ๒๕๕๑ : ๑๔) ย่านเสาชิงช้าในสมัยนี้กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่กลางพระนคร เป็นศูนย์รวมของสินค้ามากมายเช่น อาหาร เครื่องทอง เครื่องเหล็ก เครื่องอัฐบริขาร
พระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย เกือบถูกยกเลิกไปจากจุดนี้เอง ซึ่งพระยาอนุมานราชธน (สำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร, ๒๕๕๑ : ๑๔ - ๑๗) ได้บันทึกเรื่องราวไว้ดังนี้
“...สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระเมตตาตรัสเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ภายหลังพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง พระปิยะมหาราช มีพระราชประสงค์จะให้สร้างตึกแถวและตลาดสดขึ้น ณ ที่ซึ่งเป็นบริเวณเสาชิงช้าเดิม ซึ่งไม่ต้องสงสัยว่าบริเวณแถวนั้นคงมีราษฎรปลูกเรือนอยู่รอบ ๆ อย่างเบียดเสียดกัน และคงรกรุงรัง ดั่งที่เรียกกันว่า “แหล่งเสื่อมโทรม” จึงจำเป็นจะต้องรื้อถอนรวมทั้งเสาชิงช้าด้วย ซึ่งตั้งอยู่หน้าโบสถ์พราหม แต่เมื่อรื้อถอนเสาชิงช้าออกแล้วควรจะย้ายไปตั้งที่ใหม่ ณ ที่อื่นหรือว่าควรจะเลิกงานพิธีโล้ชิงช้าเสียทีเดียว ถ้าเห็นว่าควรเลิก เมื้อรื้อเสาชิงช้าออกแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องสร้างขึ้นใหม่ มีพระราชปรารภเรื่องนี้ในที่ประชุมเสนาบดี...พระบาทสมเด็จพระปิยะมหาราชมีพระราชวินิจฉัยว่ายังไม่ควรเลิกเสียทีเดียวอย่างน้อยก็เปิดโอกาสให้ราษฎรมีความสนุกสนาน... ที่ประชุมเสานาบดีจึงประชุมมีดำริให้สร้างเสาชิงช้าใหม่ ตรงกับที่ซึ่งมีเสาชิงช้าตั้งอยู่ ณ บัดนี้...”
ครั้งนั้นบริษัทหลุยส์ ที. เลียวโนเวนส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทรับสัมปทานทำป่าไม้ในประเทศไทยจึงได้น้อมเกล้าถวายไม่สักขนาดใหญ่ ๒ ต้น เพื่อให้ทางการได้นำมาสร้างเป็นเสาชิงช้าขึ้นใหม่บริเวณหน้าวัดสุทัศเทพวรารามราชวรวิหาร การสร้างเสาชิงช้าครั้งใหม่นี้ตรงกับปี พ.ศ. ๒๔๔๔ ครั้งนี้ได้สร้างเสาชิงช้าให้ใหญ่เท่ากับขนาดปัจจุบัน
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ประกอบกับสถานการณ์ของบ้านเมืองที่ไม่แน่นอนอันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกยังผลต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟยในพระราชสำนักที่มีมาแต่ในรัชกาลที่ ๖ ภาวะการคลังของประเทศเข้าขั้นวิกฤติ ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเช่น ลดเงินเดือนส่วนพระองค์ ยุบจำนวนทหารมหาเล็ก ยุบ,รวมกรมกองต่าง ๆ ที่ไม่สำคัญ ลด ยกเลิกบำเหน็จ บำนานและจำนวนข้าราชการลง อีกทั้งธรรมเนียมปฏิบัติหลายอย่างจึงมีความจำเป็นต้องลดทอนลงตามความเหมาะสม ทำให้บทบาทของพราหมณ์ในราชสำนักถูกลดลงด้วย
สิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อพระราชพิธีตรียัมปวาย - ตรีปวายด้วยเช่นกัน เพราะการประกอบพระราชพิธีแต่ละครั้งนั้นมีค่าใช้จ่ายจำนวนมากที่ต้องใช้ในการจัดกระบวนแห่ในพิธี ทั้งในส่วนเครื่องแต่งกายและค่าเบี้ยเลี้ยงของผู้เข้าร่วมขบวนแห่พระยายืนชิงช้า อีกทั้งเป็นพระราชพิธีที่จะต้องกระทำต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน ทำให้ไม่เหมาะสมต่อสภาพเศรษฐกิจของบ้านเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ดังนั้นใน พ.ศ. ๒๔๗๗ จึงได้มีการยกเลิกพระราชพิธีตรียัมปวาย - ตรีปวายไปในที่สุด
พระราชพิธีตรียัมปวาย - ตรีปวายถึงแม้ว่าได้ยกเลิกไปแล้ว แต่พราหมณ์ยังคงประกอบพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวายในเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ ได้ถูกย่อขนาดลง ไม่ทำอย่างใหญ่โตเหมือนในครั้งก่อน เป็นการทำพิธีภายในเทวสถานเท่านั้น จำนวนวันในการประกอบพิธีถูกลดจำนวนลงจาก เดิมคือ ๑๐ วัน เหลือเพียง ๔ วันเท่านั้น และไม่มีการโล้ชิงช้าใหญ่ มีการจ่ายเงินให้พราหมณ์ประกอบพิธีเองปีละ ๔๐๐ บาท (ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ, ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์ : ๗๗)
การประกอบพิธีตรียัมปวาย - ตรีปวายภายยังคงสืบเนื่องมาจนถึงรัชการปัจจุบัน โดยชุมชนพราหมณ์ที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลพราหมณ์ประจำราชสำนักกรุงรัตนโกสินทร์เป็นผู้ประกอบพิธี รวมถึงพราหมณ์ในจังหวัดในจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศเช่น นครศรีธรรมราช เพชรบุรี ฯลฯ ก็ยังคงประกอบพิธีนี้อยู่ด้วย แต่ได้ลดขนาดของพิธีลงตามความเหมาะสม ไม่ได้ยกเลิกไปโดยสิ้นเชิง เนื่องจากเป็นเทศกาลขึ้นปีใหม่ของศาสนาพราหมณ์และโบราณราชประเพณีที่ควนจะสืบทอดเอาไปต่อไป และอาจจะกล่าวได้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีนี้ไว้
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (พ.ศ. ๒๔๙๓ - ) รัชกาลปัจจุบัน ทรงรับพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวายไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ไม่ได้จัดอยู่ในพระราชพิธีสิบสองเดือน พิธีนี้ถูกจัดขึ้นในเดือน ธันวาคม – มกราคม (ศิลปากร, กรม, ๒๕๕๑ : ๒๗๒)
สืบเนื่องจากการปฏิสังขรณ์เสาชิงช้าครั้งใหญ่แล้วเสร็จในปี ๒๕๕๑ พระราชพิธีตรียัมปวาย - ตรีปวายได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง กล่าวคือในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ พระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย ถูกประกอบขึ้นในวันที่ ๒ – ๑๖ มกราคม คือ วันขึ้น ๖ ค่ำเดือนยี่ ถึงวันแรม ๑๖ เดือนยี่ มีการรักษารูปแบบของพิธีกรรม เช่น ลำดับของพิธี บทสวดต่าง ๆ เครื่องใช้ในพิธี การโล้ชิงช้าใหญ่ รวมถึงพิธีโกนจุกให้เหมือนอย่างเดิมแทบทุกประการ (รัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๗) ขาดแต่เพียงขบวนแห่งพระยายืนชิงช้าเท่านั้น เพื่อเป็นการสืบทอดความรู้ของการประกอบพิธีเพื่อสืบต่อยังพราหมณ์รุ่นหลัง อีกทั้งยังเป็นสืบสารพระราชพิธีสำคัญของแผ่นดินให้อยู่คู่กับลูกหลานสืบไป
ส. พลายน้อย. เรื่องเล่าบางกอก. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ : แพร่พิทยา. ๒๕๑๘.
สมมตอมรพันธุ์ ฯ, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ, กรมพระ. ประกาศพระราชพิธีเล่ม ๑. พิมพ์ครั้งที่ ๑. พระนคร : องค์การค้าคุรุสภา. ๒๕๐๘.
สำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร. จดหมายเหตุบูรณปฏิสังขรณ์เสาชิงช้า พุทธศักราช ๒๕๔๙. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพฯ : บริษัท ดาวฤกษ์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (หนึ่งในกลุ่มบริษัททีม). ๒๕๕๑.
ท.กล้วยไม้ ณ อยุธยา, ศาสตราจารย์พิเศษ. ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ. เทวสถานโบสถ์พราหมณ์เสาชิงช้า. ไม่ปรากฏครั้งที่พิมพ์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์อัมรินทร์. ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์.
ศิลปากร, กรม. สารานุกรมพระราชกรณียกิจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรอบ ๖๐ ปีแห่งการครองราชย์. กรุงเทพฯ : กรมศิลากร. ๒๕๕๑.
ไม่มีความเห็น